HoonSmart.com >> เอส.ซี.แอล.มอเตอร์ พาร์ท (SCL) ผู้นำธุรกิจจำหน่ายอะไหล่รถยนต์ชั้นนำเบอร์ 1 ของอีซูซุ และค่ายรถชั้นนำ “ถูกทุกชิ้น แพ้ทุกส่วน” “ สกล ตั้งก่อสกุล” เอ็มดี ปักธงรักษาการเติบโต 10-12% พร้อมรับมือทรานฟอร์มสู่เทรนด์รถไฟฟ้า
จุดกำเนิด SCL
จากธุรกิจเล็ก ๆ ในตึกแถว 2 ห้อง ซึ่งเป็นร้านขายอะไหล่รถยนต์ “เซ่ง เชียง ล้ง” ย่านวรจักร เมื่อ 58 ปีที่แล้ว จุดกำเนิดของ “เอส.ซี.แอล. มอเตอร์ พาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SCL ในปัจจุบัน และกำลังย่างก้าวเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ เอ็มเอไอ ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 นี้
58 ปี หรือครึ่งศตวรรษ การทำธุรกิจจำหน่ายอะไหล่รถยนต์ครบวงจร ผ่านวิกฤตต่าง ๆ มาโชกโชน ไม่ต่างอะไรกับรุ่นเด็ก สู่วัยรุ่นสร้างตัว กระทั่งเติบโต แข็งแกร่ง ไม่ว่าวิกฤตข้างหน้าจากนี้จะเกิดอะไรขึ้น เราเชื่อว่า SCL สามารถรับมือได้ไม่ยาก เช่นเดียวกับหุ้น SCL ไอพีโอ 1.54 บาท กำลังเข้าซื้อขายในตลาด mai วันแรก 1 พฤศจิกายน 2566 ไม่ทำให้นักลงทุนผิดหวัง
นายสกล ตั้งก่อสกุล กรรมการผู้จัดการ SCL เปิดการสนทนากับ HoonSmart.com อย่างเป็นกันเอง ว่า การทำธุรกิจของ SCL เป็นที่ยอมรับของค่ายรถยนต์อีซูซุ ให้เป็นผู้จำหน่ายอะไหล่รถยนต์รายใหญ่ของอีซูซุ มาอย่างต่อเนื่อง และอีกหลายค่ายรถยนต์ชั้นนำของไทย ซึ่งเป็นธุรกิจที่เข้ายาก เนื่องจาก ค่ายรถยนต์ชั้นนำ ไม่เปิดรับตัวแทนจำหน่ายอะไหล่รถยนต์เพิ่ม โดย SCL ถือเป็น “พาร์ทดีลเลอร์” หรือตัวแทนจำหน่าย เบอร์ 1 ของค่ายรถอีซูซุ รวมไปถึงการจำหน่ายอะไหล่รถยนต์ทดแทนของผู้ผลิต เช่น AISIN , DENSO หรือ TOKICO ไม่น้อยกว่า 30-40 ปี
วันนี้ SCL มีผลิตภัณฑ์อะไหล่รถยนต์มากกว่า 167,000 รายการ ส่งจำหน่ายร้านอะไหล่ทั่วประเทศ , ครอบคลุมศูนย์บริการรถยนต์ทั่วไป ลูกค้าประกัน รวมกว่า 1,600 ราย
ช่องทางการจำหน่าย ผ่านร้านค้าอะไหล่รถยนต์ทั่วประเทศ เป็นหลัก คิดเป็นสัดส่วนถึง 91% ของรายได้ขาย , ศูนย์บริการรถยต์ทั่วไป 3.8% , บริษัทประกัน 3.6% โดยจำหน่ายอะไหล่รถยนต์แท้ของค่ายรถยนต์ เช่น อีซูซุ , ฟอร์ด รวม 88% และอะไหล่ทดแทน 12% ของผลิตภัณฑ์
การเติบโตกับปริมาณรถยนต์สะสม
นายสกล เล่าว่า SCL เติบโตตามปริมาณรถยนต์สะสม ซึ่งตลาดหลักเป็นรถยนต์ ที่มีอายุ 3 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะรถยนต์ใหม่ หมดประกันศูนย์ จะเข้าศูนย์บริการรถยนต์ทั่วไป เช่น FastFit หรืออู่ซ่อม ซึ่งมีค่าใช้จ่ายถูกกว่า ดังนั้น ตลาดของ SCL คือ รถยนต์หลังหมดประกันศูนย์แล้ว ปัจจุบัน ประชากรรถยนต์สะสม มีปริมาณถึง 20.6 ล้านคัน เพิ่มมากขึ้นทุกปี เห็นได้ว่า SCL มีอัตราการเติบโตสม่ำเสมอทุกปี 8-10% อย่างต่อเนื่อง
” ตลาดของ SCL อยู่ที่ประชากรรถยนต์สะสม 20.6 ล้านคัน ซึ่งเป็นรถที่มีอายุ มากกว่า 3 ปี หมดประกันศูนย์ มั่นใจว่า อีก 3 ปี ข้างหน้า รายได้ขายมีโอกาสไปถึง 2,000 ล้านบาท ตามประชากรรถยนต์ และพยายามรักษาการเติบโตให้อยู่ 2 หลัก หรือปีนี้ 10-12% ซึ่ง 25 ปีที่ผ่านมา เติบโตต่อเนื่องจาก 5 – 10% เราจะรักษาการเติบโตให้อยู่ 10-12% ”
ทรานฟอร์มสู่อะไหล่รถยนต์สำหรับรถไฟฟ้า
กรรมการผู้จัดการ กล่าวถึงความกังวลว่า การจำหน่ายอะไหล่รถยนต์รถสันดาป หรือรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน จะได้รับผลกระทบจากรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งยอมรับว่า ความต้องการรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จากอัตราการเติบโตรถไฟฟ้าปี 2020 จำนวน 1,100 คัน เพิ่มเป็น 1,900 คัน ในปี 2021 และปี 2022 ที่ผ่านมา จำนวน 9,700 คัน เฉลี่ย 3 ปี คิดเป็นอัตราการเติบโต 0.29% ของประชากรรถยนต์ท้้งหมด
ขณะที่ ม.ค.-ก.ย.ปีนี้ รถไฟฟ้าพุ่งขึ้นเป็น 43,000 คัน รถใช้น้ำมันเพิ่มขึ้นเดือนละ 7,000 คัน หรือขยับ 0.39% คาดว่า ณ ปลายปี 2567 รถไฟฟ้า เพิ่มขึ้นเท่าตัว เป็น 140,000 คัน คิดเป็นอัตราส่วน 1.1% ของประชากรรถทั้งหมด
นายสกล คาดว่า 10 ปีข้างหน้า อัตราส่วนรถไฟฟ้า ขึ้นมาเป็น 9% ของประชากรรถยนต์ทั้งหมด ดังนั้น ยังมีเวลาที่ SCL ปรับตัว แต่เราไม่รอให้ถึง 10 ปี ซึ่งการเข้าตลาดหุ้น ทำให้เราปรับตัวได้เร็วขึ้นพร้อมรับมือรถไฟฟ้า ตอนนี้เราเริ่มจำหน่ายกลุ่มอะไหล่รถยนต์เพื่อการเกษตร เช่น อะไหล่รถแทรกเตอร์ ของเยอรมัน
” ผลิตภัณฑ์อะไหล่รถยนต์ใช้น้ำมัน ส่วนที่เกี่ยวกับเครื่องยนต์ เช่น ไส้กรองน้ำมัน , น้ำมันเครื่อง จะได้รับผลกระทบ แต่ชิ้นส่วนอะไหล่ เช่น บังโคลนหน้า ไฟหน้ารถ อุปกรณ์ภายใน , แอร์ หรือผ้าเบรก ยังเป็นส่วนหนึ่งของรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งบริษัท ฯ พร้อมรับมือกับการเติบโตของรถไฟฟ้า โดยพยายามเน้นจำหน่ายสินค้าที่มีกำไรขั้นต้นสูงกว่าเดิม จากประสบการณ์ธุรกิจ 58 ปี การจำหน่ายอะไหล่รถยนต์ค่ายรถยนต์รถของไทย หรืออะไหล่รถยนต์ทดแทนที่ได้มาตรฐานของผู้ผลิตชิ้นส่วนอะไหล่รถยนต์ ที่ได้รับการายอมรับ เช่น DENSO หรือ AISIN ทำให้ SCL เติบโตสม่ำเสมอ เติบโตตามปริมาณรถยนต์ ซึ่งผมเชื่อว่าสามารถรักษาการเติบโต 8-10% จะพยายามทำขึ้นไปให้ถึง 10-12% ในปีนี้ ” กรรมการผู้จัดการ กล่าวก่อนจบการสนทนา