หุ้นแค่รีบาวด์ 6 จุด บล.ทิสโก้มองสงคราม กรณีเดือดเจอ 1,300-1,350 จุด

HoonSmart.com>>หุ้นปิดบวก 6.29 จุดตามตลาดต่างประเทศ แค่เทคนิคเคิลรีบาวด์ นักวิเคราะห์ประสานเสียงขาลงยังไม่จบ บล.ทิสโก้ศึกษา 3 สถานการณ์ตะวันออกกลาง หากจำกัดวง หุ้นระยะสั้นเคลื่อนไหว 1,400-1,460 จุด กรณีสงครามโดยตรง ตลาดซึมลงมาแถว 1,300-1,350 แนะหุ้นคาดงบไตรมาส 3/66 ดี เน้น BBL,TOP,COM7, CPALL, CPAXT,ADVANC หุ้นเข้า SET50  คือ JMT, KCE ปันผลสูง ADVANC, BTSGIF, DMT, MAJOR, MC, SABINA

ตลาดหุ้นวันที่ 17 ต.ค.66 เปิดตลาดสดใสตามตลาดต่างประเทศ และดัชนีปิดที่ระดับ 1,433.40 จุด เพิ่มขึ้น 6.29 จุด หรือ +0.44% มูลค่าซื้อขาย 38,504.36 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 841.25 ล้านบาท และขายตราสารหนี้ 1,474 ล้านบาท แต่กลับซื้ออนุมพันธ์ 19,800  สัญญา ทำให้เงินบาทอ่อนปิดที่ 36.37/38 แกว่งแคบตามภูมิภาค ด้านตลาดหุ้นเอเชียดาหน้าปรับตัวขึ้น นำโดยญี่ปุ่น +1.20%

ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นจากแรงซื้อหุ้นรายกลุ่ม เน้นกลุ่มแบงก์,รับเหมาก่อสร้างและกลุ่มท่องเที่ยว หลังจากครม.ไฟเขียวต่อฟรีวีซ่านักท่องเที่ยวรัสเซีย

นายกิจพณ ไพรไพศาลกิจ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์และนักกลยุทธ์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้เกิดเทคนิคเคิลรีบาวด์หลังร่วงแรงตอบรับสถานการณ์ตะวันออกกลางไปพอควรแล้ว โดยดัชนีฯสามารถขึ้นมายืนเหนือ 1,430 จุด ทำให้โมเมนตัมตลาดมีโอกาสที่จะขึ้นไปทดสอบ 1,460 จุดหรือสูงกว่า ซึ่งมองว่าจากนี้จนถึงปลายปีตลาดมีโอกาสฟื้นตัวขึ้นไปได้อีก 100-150 จุด

หากสถานการณ์ตะวันออกกลางไม่เลวร้าย ราคาน้ำมันดิบจะเคลื่อนไหวแถว 85-95 เหรียญสหรรัฐ/บาร์เรล ไม่น่าจะขึ้นไปถึง 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ได้ ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย และตลาดในยุโรปที่เทรดบ่ายนี้ต่างก็ปรับตัวขึ้นกัน

แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (18 ต.ค.) ตลาดมีโอกาสฟื้นตัวขึ้น โดยมีแนวรับ 1,435 จุด แนวต้าน 1,460 จุด

น.ส.ชุติกาญจน์ สันติเมธวิรุฬ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นรีบาวด์ตามตลาดต่างประเทศ คาดว่าเป็นแรงเก็งกำไรตามงบฯที่จะทยอยออกมา โดยเริ่มที่กลุ่มธนาคาร หากมอง Valuation ถือว่าถูก เทรด P/E ปี 67 แค่ 14 เท่า ทำให้หุ้นหลายตัวน่าสนใจลงทุนในระยะกลาง-ยาว  ตลาดยังมีแรงหนุนจากมาตรการภาครัฐ นอกจากนี้ ราคาหุ้นหลายตัวได้ปรับตัวลงไปมาก ทำให้มีแรงซื้อกลับมาได้บ้างจากปัจจัยเฉพาะตัว อย่างไรก็ดีสถานการณ์ตะวันออกกลางยังต้องติดตามต่อไป

“ตลาดยังมีความผันผวนอยู่จากหลายปัจจัยที่ต้องติดตาม จึงมองยังไม่จบรอบการปรับตัวลง เพราะยังไม่มีประเด็นบวกที่มีน้ำหนักจริง และ Flow ก็ยังไม่มา จะมีก็แค่ Valuation ที่ถูกเท่านั้น แต่เมื่อดัชนีฯเข้าใกล้ระดับ 1,400 จุด ก็คาดว่าจะมีแรงซื้อสลับเข้ามาบ้าง”

น.ส.ชุติกาญจน์ คาดตลาดหุ้นพรุ่งนี้คงจะเคลื่อนไหวไซด์เวย์ การฟื้นตัวยังจำกัด โดยมีแนวรับ 1,425 จุด แนวต้าน 1,440-1,445 จุด

นายถนอมศักดิ์ สหรัตน์ชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิจัย บล.กรุงไทย เอ็กซ์สปริง กล่าวว่า ตลาดหุ้นปรับตัวลงสลับรีบาวด์อยู่แล้ว แม้แวดล้อมต่างประเทศจะเป็นบวกหนุนให้หุ้นฟื้นตัวขึ้นได้ แต่ยังต้องดูสัญญาณจาก Fund Flow ถ้าเข้ามาเมื่อไรตลาดก็จะปรับตัวขึ้น แต่ตอนนี้ยังไม่มา จึงยังไม่จบรอบของการปรับตัวลง  ดัชนีฯมองเป็นแค่รีบาวด์ อีกทั้งเรื่องของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) และสถานการณ์ตะวันออกกลางก็ยังไม่เคลียร์ ดังนั้นนักลงทุนคงจะเล่นหุ้นตามข่าวอยู่ ส่วนวอลุ่มเทรดบางสะท้อนถึงความไม่มั่นใจ

นอกจากนี้ ยังมองว่าดัชนีฯมีโอกาสที่จะปรับตัวลงต่ำกว่า 1,400 จุดได้ โดยตลาดหุ้นไทยไม่ได้เป็นหนึ่งในเรดาร์ที่คนจะซื้อ Fund Flow ก็ไม่เข้า และดูปัจจัยในประเทศจะมีมาตรการหุ้นออกมาไหม ถ้ามีก็ช่วย ถ้าไม่มีก็ไม่ช่วยหนุนตลาด จึงแนะนำขึ้น”ขาย” ลง”ซื้อ”

ด้านบล.ทิสโก้ สถานการณ์สู้รบระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสน่าเป็นห่วง-ส่อแววรุนแรงขึ้น ล่าสุด อิหร่านออกโรงเตือนอิสราเอลว่าสถานการณ์สู้รบจะบานปลายหากยังไม่หยุดปฏิบัติการทางทหารเชิงรุกโดยเฉพาะการโจมตีภาคพื้นดิน โดยมีการประเมินความเป็นไปได้ของสถานการณ์ 3 กรณี คือ (1) สงครามจำกัดวง (Confined War) พื้นที่สู้รบหลักยังอยู่ในฉนวนกาซา คาดราคาน้ำมันจะยังเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ 100 ดอลลาร์ฯ ผลกระทบต่อ GDP โลกปีหน้า -0.1% เป็นโต 2.6% สำหรับ GDP ไทย ยังคงเป้าเติบโตที่3.5% ในปีหน้า และยังมี Upside จากการแจกเงินดิจิทัลที่คาดจะทำให้ GDP เติบโตระดับ 4-5% ขึ้นไป  มอง SET Index ระยะสั้นเคลื่อนไหวในกรอบ 1,400-1,460 จุด

(2) สงครามตัวแทน (Proxy War)  พื้นที่ขยายวงไปที่เลบานอนและซีเรียซึ่งอิหร่านให้การสนับสนุน คาดราคน้ำมันเคลื่อนไหวสูงขึ้นแตะระดับ  100 ดอลลาร์ฯ คาดจะส่งผลกระทบต่อ GDP โลกปีหน้า -0.3% เหลือโต 2.4% สำหรับ GDP ไทยคาดมีโอกาสโตต่ำกว่าระดับ 4% แม้จะคำนึงถึง Upside จากการแจกเงินดิจิทัลแล้วก็ตาม แต่ไม่น่าจะโตต่ำกว่าระดับ 3%  SET Index อาจแกว่งลงทดสอบ 1,400 จุดหรือต่ำกว่าเล็กน้อย

(3) สงครามโดยตรง (Direct War) เป็นสงครามระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน คาดราคาน้ำมันมีโอกาสพุ่งสูงขึ้นมากกว่าระดับ 120 ดอลลาร์ฯ และกระทบต่อ GDP โลกปี หน้า -1% เหลือโต 1.7% และมีความเป็นไปได้สูงที่จะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอย ซึ่งในกรณีนี้ SET Index อาจซึมลงมาแถว 1,300-1,350 ด้วย SET Index ล่าสุดไหลลงปิดต่ำกว่าระดับ 1,430 จุดทำจุดต่ำใหม่ของปีนี้ ถือว่าโมเมนตัมพลิกกลับมาเป็นลบในทางเทคนิคมีโอกาสลงต่อทดสอบแนวรับจิตวิทยาที่ระดับ 1,400 จุดหรือต่ำกว่า

สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง แนะหาจังหวะตั้งรับตลาดปรับตัวลง หุ้นที่มองมีโอกาสปรับตัวในทิศทางที่ดีกว่าตลาด (Outperform) ในระยะสั้น คือ (1) หุ้นที่คาดงบไตรมาสที่ 3/2566 จะออกมาดี ได้แก่กลุ่มแบงก์ เช่น BBL พลังงานคือ TOP  กลุ่มพาณิชย์ COM7, CPALL, CPAXT ส่วนไอซีทีแนะนำ  ADVANC / ETRON – HANA  อสังหาริมทรัพย์ AMATA, AP กลุ่มการแพทย์  BDMS, BH ท่องเที่ยว  CENTEL ขนส่ง  BEM, BTS, DMT, MENA อาหาร  ICHI, RBF,SAPPE, SNNP  กลุ่มอื่นและmai  CK, PLANB, AU, AUCT, SPA  รวมถึงหุ้นเบื้องต้นที่มีโอกาสเข้า SET50 Index – JMT, KCE  และหุ้นเชิงรับปันผลสูงเป็นหลุมหลบภัยในช่วงตลาดเปราะบาง   ADVANC, BTSGIF, DMT, MAJOR, MC, SABINA

บล.กรุงศรี ประเมินความเสี่ยง เชื่อว่าระดับดัชนีในปัจจุบันมี Downside ไม่มาก แม้อิงฐานกรณีเลวร้าย กลยุทธ์มองหุ้น Outperform ระยะสั้น คือ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์, กลุ่มโรงพยาบาล(BCH, CHG) ส่วนการลงทุนระยะกลาง-ยาวเน้นไปที่กลุ่มวงจรส่งออกผ่านจุดต่ำสุด อิเล็กทรอนิกส์ อาทิ(HANA, KCE) กลุ่มท่องเที่ยว (AOT, ERW) สื่อสาร(ADVANC), กลุ่มค้าปลีก (CPALL,CPAXT), กลุ่มเช่าซื้อ(MTC, SAWAD, JMT), กลุ่มโรงไฟฟ้า(GULF) กลุ่ม Tech Consult อาทิ BE8

ด้านบริษัททริสเรทติ้งคาดการณ์เศรษฐกิจไทยเติบโต3.0% และ 3.7% ในปี 2566 และ 2567 โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว การบริโภคภาคเอกชน และการลงทุนโดยรวม

อย่างไรก็ตามไทยยังเผชิญความเสี่ยงสำคัญ หากธนาคารกลางในหลายประเทศยังคงนโยบายการเงินแบบเข้มงวด และกระทบต่อความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในประเทศตลาดเกิดใหม่ รวมถึงความผันผวนในตลาดทุน และเงินทุนไหลออกจากตลาดการเงินจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ยังอยู่ในระดับสูงและความเป็นไปได้ที่หนี้สาธารณะจะปรับสูงขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐในปี 2567

นอกจากนี้เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวอาจกระทบการส่งออกสินค้าของไทยมากกว่าคาด ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงขึ้นสร้างแรงกดดันต่อภาวะเงินเฟ้อด้วยปัจจัยด้านต้นทุนกระทบห่วงโซ่อุปทานของโลก บรรยากาศการลงทุน และการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว