HoonSmart.com >> GULF โชว์ไตรมาส 3/67 กำไรสุทธิ 6,029.74 ล้านบาท โตแรง 79.44% ส่วน 9 เดือน กวาดกำไร 14,269.53 ล้านบาท โต 41.35% รับรู้ Core Profit ไตรมาส 3 จำนวน 4,710 ล้านบาท เติบโต 12% YoY จากธุรกิจพลังงานและส่วนแบ่งกำไรจาก INTUCH ” ยุพาพิน วังวิวัฒน์” ผู้บริหาร มั่นใจไตรมาส 4 โตต่อเนื่อง โครงการต่าง ๆ เดินตามแผน ส่วน NewCo คาดแล้วเสร็จต้น Q2/68 เพิ่มกำลังผลิตไฟฟ้าอีก 1,470 เมกะวัตต์ ดีเดย์โรงไฟฟ้า HKP หน่วยผลิตที่ 2 (770 เมกะวัตต์) COD 1 ม.ค. 2568
บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ (GULF ) รายงานผลดำเนินงานไตรมาส 3 สิ้นสุด 30 ก.ย. 2567 กำไรสุทธิ 6,029.74 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.51 บาท เพิ่มขึ้น 2,669.44 ล้านบาท หรือ 79.44% เทียบช่วงเดียวกันปี 2567
งวด 9 เดือน กำไรสุทธิ 14,269.53 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 1.22 บาท เพิ่มขึ้น 4,174.32 ล้านบาท หรือ 41.35% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน กำไรสุทธิ 10,095.21 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.86 บาท
สำหรับ Q3/67 มีรายได้รวม (total revenue) 31,259 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากไตรมาส 3/2566 และมีกำไรจากการดำเนินงาน (core profit) เท่ากับ 4,710 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12% จาก 4,203 ล้านบาท ในไตรมาสเดียวกันของปีก่อน
ผลดำเนินงานที่ดีขึ้นของกลุ่มบริษัทฯ มีสาเหตุหลักมาจากการเติบโตของธุรกิจโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ โดยโครงการกัลฟ์ ปลวกแดง (GPD) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD กำลังการผลิตติดตั้งรวม 2,650 เมกะวัตต์ ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์หน่วยผลิตที่ 2 และ 3 ในเดือนตุลาคม 2566 และมีนาคม 2567 ตามลำดับ ส่งผลให้ในไตรมาส 3/2567 GULF รับรู้ผลการดำเนินงานของโครงการ GPD หน่วยที่ 1-3 ซึ่งมีกำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,987.5 เมกะวัตต์
โครงการโรงไฟฟ้าหินกอง (HKP) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP กำลังการผลิตติดตั้งรวม 1,540 เมกะวัตต์ ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์หน่วยผลิตที่ 1 ซึ่งมีกำลังการผลิตติดตั้ง 770 เมกะวัตต์ เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้ GULF รับรู้กำไรจากการดำเนินงานของโครงการ HKP หน่วยที่ 1 ในไตรมาสนี้
อีกทั้ง GULF ยังรับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit ของโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Jackson Generation ในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจาก 150 ล้านบาท ในไตรมาส 3/2566 เป็น 414 ล้านบาท ในไตรมาส 3/2567 ซึ่งเป็นผลมาจากการกลับรายการภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (property tax) ค้างจ่ายที่บันทึกไว้สูงเกินไปสำหรับปี 2566 และ 9 เดือนแรกของปี 2567 จำนวน 326 ล้านบาท
นอกจากนี้ ในไตรมาส 3/2567 นี้ GULF รับรู้ส่วนแบ่งกำไร core profit จากการลงทุนใน INTUCH จำนวน 1,583 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4% จาก 1,527 ล้านบาท ในไตรมาส 3/2566 โดยมีสาเหตุหลักมาจากผลประกอบการของ ADVANC
ที่ดีขึ้น
อย่างไรก็ดี ปัจจัยบวกดังกล่าว ถูกชดเชยจาก core profit ที่ลดลงของโครงการโรงไฟฟ้ากัลฟ์ ศรีราชา (GSRC) ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้า IPP ภายใต้กลุ่ม IPD จากการรับรู้ค่าใช้จ่ายบำรุงรักษา (maintenance expense) ของทั้ง 4 หน่วย เริ่มทยอยซ่อมบำรุงระหว่างไตรมาส 3/2566 – ไตรมาส 3/2567 และปริมาณการขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ที่ลดลง โดยมี load factor เฉลี่ยลดลงจาก 79% ในไตรมาส 3/2566 เป็น 69% ในไตรมาสนี้
นอกจากนี้ โครงการโรงไฟฟ้า IPP 2 โครงการ และ SPP 7 โครงการภายใต้กลุ่ม GJP มีผลกำไรที่ลดลง เนื่องมาจากผลกระทบจากค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลที่เพิ่มขึ้นจากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนในไตรมาสนี้ อีกทั้ง โรงไฟฟ้า IPP 2 โครงการ ซึ่งได้แก่ GNS และ GUT มีปริมาณการขายไฟฟ้าให้ กฟผ. ที่ลดลง โดยมี load factor เฉลี่ยที่ลดลงจาก 21% ในไตรมาส 3/2566 เป็น 7% ในไตรมาส 3/2567
ประกอบกับ โครงการโรงไฟฟ้า SPP 12 โครงการภายใต้กลุ่ม GMP มีอัตรากำไรขั้นต้นจากการขายไฟฟ้าให้กลุ่มลูกค้าอุตสาหกรรมที่ลดลง จากราคาค่า Ft เฉลี่ยที่ลดลงในอัตราที่สูงกว่าการลดลงของราคาค่าก๊าซธรรมชาติเฉลี่ย โดยค่า Ft เฉลี่ยลดลงจาก 0.68 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในไตรมาส 3/2566 เป็น 0.40 บาท/กิโลวัตต์-ชั่วโมง ในไตรมาส 3/2567
ขณะที่ราคาก๊าซธรรมชาติ เฉลี่ยลดลงจาก 345.97 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาส 3/2566 เป็น 333.79 บาท/ล้านบีทียู ในไตรมาสนี้
ทั้งนี้ GULF มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ในไตรมาส 3/2567 จำนวน 9,843 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับ 9,364 ล้านบาท ในไตรมาส 3/2566 ในขณะที่กำไรสุทธิ (net profit) ส่วนที่เป็นของบริษัทใหญ่ในไตรมาส 3/2567 เท่ากับ 6,030 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 79% จาก 3,360 ล้านบาท ในไตรมาส 3/2566
ไตรมาส 3/2567 บริษัทฯ รับรู้ผลกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นจริง เนื่องจากค่าเงินบาทต่อดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นจาก 37.01 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นไตรมาส 2/2567 เป็น 32.46 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นไตรมาส 3/2567 อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยนดังกล่าวเป็นเพียงการบันทึกรายการทางบัญชี และไม่มีผลกระทบต่อกระแสเงินสดและผลประกอบการของ GULF แต่อย่างใด
ณ วันที่ 30 กันยายน 2567 GULF มีสินทรัพย์รวม 486,837 ล้านบาท หนี้สินรวม 338,421 ล้านบาท และ ส่วนของผู้ถือหุ้น 148,416 ล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สิน ที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (net interest-bearing debt to equity) อยู่ที่ 1.71 เท่า ลดลงจาก 1.85 เท่า ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2567 โดยเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของส่วนของผู้ถือหุ้นจากผลประกอบการที่ดีขึ้นของกลุ่มบริษัทฯ
นางสาวยุพาพิน วังวิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านการเงิน GULF เปิดเผยว่า ไตรมาส 4/2567 คาดว่า รายได้รวมยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากโครงการต่าง ๆ ของบริษัทฯ ที่เปิดดำเนินงานตามแผน โดยโครงการโรงไฟฟ้า GPD หน่วยที่ 4 (662.5 เมกะวัตต์) ได้เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์แล้วในวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ซึ่ง GULF จะเริ่มรับรู้ผลการดำเนินงานเต็มไตรมาส ของหน่วยผลิตนี้ในไตรมาส 4/2567
นอกจากนี้ โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดิน (solar farms) และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนพื้นดินร่วมกับระบบกักเก็บพลังงาน (solar farms with battery energy storage systems) มีแผนที่จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ 5 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 532 เมกะวัตต์ ในเดือนธันวาคม 2567 ประกอบกับในไตรมาส 4 เป็นช่วง high season ของโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม ส่งผลให้โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลม 3 โครงการภายใต้กลุ่ม Gulf Gunkul Corporation ในประเทศไทย และโครงการ BKR2 ในประเทศเยอรมนี คาดว่าจะมีผลประกอบการที่ดีขึ้น
อีกทั้ง ผลการดำเนินงานของ ADVANC คาดว่าจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากจำนวนผู้ใช้งานและ ARPU ที่เพิ่มขึ้น”
นางสาวยุพาพิน กล่าวเพิ่มเติมว่า “ในปี 2568 ผลประกอบการของบริษัทฯ คาดว่าจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดภายหลังการควบรวมระหว่าง GULF และ INTUCH เสร็จสิ้น เนื่องจากบริษัทใหม่ (NewCo) จะถือหุ้นโดยตรงใน ADVANC ในสัดส่วน 40.4% ซึ่งทำให้สามารถรับรู้ส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดโดยสมัครใจ แบบมีเงื่อนไขก่อนทำคำเสนอซื้อ (Conditional Voluntary Tender Offer) ของ ADVANC และ THCOM จะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 4/2567 – 1/2568
ทั้งนี้ การจัดตั้งบริษัทใหม่ (NewCo) คาดว่า จะแล้วเสร็จในช่วงต้นไตรมาส 2/2568 ในปี 2568 และคาดกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 1,470 เมกะวัตต์ โดยโครงการโรงไฟฟ้า HKP หน่วยผลิตที่ 2 (770 เมกะวัตต์) จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในวันที่ 1 มกราคม 2568
อีกทั้ง โครงการ solar farms และ solar farms with battery energy storage systems มีแผนที่จะเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์เพิ่มเติมรวมอีก 7 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวมประมาณ 600 เมกะวัตต์ ในขณะที่โครงการ solar rooftop ภายใต้ GULF1 คาดว่าจะดำเนินการจ่ายไฟฟ้าให้กับลูกค้าเพิ่มอีกประมาณ 100 เมกะวัตต์ ซึ่งจะทำให้บริษัทฯ รับรู้กำไรที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโครงการดังกล่าว
ในส่วนของธุรกิจนำเข้าก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ปีหน้าบริษัทฯ มีแผนที่จะนำเข้า LNG เป็นจำนวน 70 ลำ หรือประมาณ 5 ล้านตัน เพื่อใช้ในการผลิตไฟฟ้าของโครงการโรงไฟฟ้า GSRC, GPD และ HKP
ธุรกิจศูนย์ข้อมูล GSA DC (data center) ของกลุ่มบริษัทฯ ซึ่งมีขนาด 50 เมกะวัตต์ โดยเฟสหนึ่งขนาด 25 เมกะวัตต์ อยู่ในระหว่างการก่อสร้างและมีแผนที่จะเปิดให้บริการในเดือนเมษายน 2568 ส่วนธุรกิจ cloud ที่บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับ Google เพื่อให้บริการ Google Distributed Cloud air-gapped มีแผนที่จะเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 2/2568 โดยมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั้งหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เช่น ธุรกิจ health care ธุรกิจพลังงานและสาธารณูปโภค รวมถึงสถาบันทางการเงิน
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมองการต่อยอดความร่วมมือทางธุรกิจไปสู่บริการอื่น ๆ ในอนาคต ซึ่งได้แก่ AI และ cybersecurity อีกด้วย ส่วนธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (digital asset exchange) ภายใต้แพลตฟอร์ม Binance TH by Gulf Binance ภายหลังจากการเปิดให้บริการในเดือนมกราคมที่ผ่านมา Gulf Binance ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุนและมีผู้ใช้งานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดที่มากกว่า 20% ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมาย อีกทั้งยังได้มีการคัดสรรคู่เหรียญใหม่ ๆ เพิ่มเติมลงบนแพลตฟอร์มอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มทางเลือกในการลงทุน”