บลจ.อเบอร์ดีนมอง “ทรัมป์” คัมแบ็ก ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จีน อินเดียน่าสนใจ

HoonSmart.com>> “บลจ.อเบอร์ดีน” แนะปรับพอร์ตลงทุน หลังการเลือกตั้งสหรัฐ มองมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทรัมป์หนุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ ด้านเงินเฟ้อเสี่ยงสูงขึ้นแตะ 3% โอกาสลดดอกเบี้ยชะลอลงประเมินปีหน้าลด 1% จากคาดไว้ 2% เร่ง “จีน” กระตุ้นเศรษฐกิจรับมือทรัมป์เร็วขึ้น ภาพการลงทุนมองบวก “หุ้นสหรัฐฯ-จีน-อินเดีย” พร้อมปรับมุมมอง “ตราสารหนี้สกุลดอลลาร์สหรัฐฯ” เป็น Neutral ฟาก “หุ้นไทย” วางเป้าดัชนีปี 68 ไว้ที่ 1,500-1,600 จุด

นายดองเย จาง Head of Investment Specialists บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า หลังจากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ได้รับชัยชนะเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ มองว่าจะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากนโยบาย American First ซึ่งจะมีการกระตุ้นเศรษฐกิจและมีโอกาสที่เงินเฟ้อ (CPI) จะปรับตัวสูงขึ้นไปแตะ 3% ในปี 2568 จากปัจจุบันอยู่ที่ 2.4% เนื่องจากอุตสาหกรรมภาคบริการที่มาจากแรงงานจะมีต้นทุนสูงขึ้น และทำให้แนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ชะลอลงจากคาดการณ์ไว้ โดยการประชุมเดือนธ.ค.นี้คาดว่าเฟดจะลดดอกเบี้ย 0.25% และในปี 2568 ลดดอกเบี้ย 0.25% ต่อไตรมาส รวมเป็น 1% จากเดิมคาดว่าจะลดดอกเบี้ย 2% ภายใต้คาดการณ์ GDP สหรัฐฯ ปีนี้จะเติบโต 2.7% และปี 2568 เติบโตประมาณ 2%

“เรามองว่าการกลับมาของทรัมป์ในครั้งนี้เปลี่ยนไปจากรอบแรกที่ทรัมป์ไม่ได้คาดการณ์ว่าจะได้รับชัยชนะ ทำให้นโยบายและการกระทำไม่ได้ไปด้วยกัน ตลาดจึงเกิดความผันผวน แต่ครั้งนี้เปลี่ยนไปจากเดิมซึ่งทรัมป์มีแรงสนับสนุนจากพรรคจำนวนมาก จึงมองการวางนโยบายจะเร็วกว่าครั้งแรกและมีความแน่นอนมากขึ้น ตลาดจะคาดการณ์ได้ดีกว่า ทำให้ความผันผวนจะน้อยกว่าครั้งแรก อย่าไปกลัวว่าทรัมป์มาแล้วทุกอย่างจะแย่ ยังมีโอกาสสำหรับนักลงทุนที่ลงทุนในตลาด”นายดองเย กล่าว

สำหรับมุมมองต่อจีน หลังจากทรัมป์ชนะเลือกตั้งในครั้งแรกเมื่อ 8 ปีที่ผ่านมา ทำให้จีนอัพเกรดซัพพลายเชนของตัวเอง เพื่อนำมาผลิตโดยไม่ต้องพึ่งสหรัฐฯ ปัจจุบันจีนส่งออกไปสหรัฐฯน้อยมาก การกลับมาของทรัมป์จึงไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจจีนล่ม ในทางกลับกันอาจทำให้รัฐบาลจีนต้องเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจมากขึ้น น่าจะมีความชัดเจนออกมาทั้งเรื่องมาตรการสนับสนุนการคลัง เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงจากสงครามการค้ากับสหรัฐฯ ซึ่งอาจต้องกระตุ้นเศรษฐกิจในวงเงินที่มากขึ้นหรือไม่จึงคาดว่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโลกค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการย้ายฐานการผลิตเข้ามาในภูมิภาคเอเชียมากขึ้น ซึ่งไทยเองก็ได้อานิสงส์เช่นกัน จึงประเมินเศรษฐกิจจีนมีโอกาสกลับมาเติบโตในระดับ 6-8% ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า จากในปี 2567 และ 2568 คาดว่าจะเติบโต 4.8% และ 4.6% ตามลำดับ

“หากจีนกลับมาเติบโตในระดับ 6-8% อีกครั้งจะทำให้ไทยได้ประโยชน์จากนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้น ค่าเงินหยวนแข็งหนุนให้เงินบาทแข็งตามไปด้วย เป็นภาพบวกที่เป็นโดมิโน แต่ต้องใช้เวลาสักระยะ 2-3 ปีและเชื่อว่าตลาดจะไปต่อทั้งหุ้น ตราสารหนี้ ค่าเงินที่จะคาดการณ์ไปล่วงหน้าและไปต่อได้เมื่อตัวเลขเศรษฐกิจออกมา ซึ่งลำดับแรกจีนคงต้องแก้หนี้ก่อน”นายดองเย กล่าว

สำหรับมุมมองการลงทุนตลาดโลก ยังมีมุมมองบวกต่อตลาดหุ้นพัฒนาแล้วและตลาดเกิดใหม่ สำหรับตลาดหุ้นพัฒนาแล้วอย่างสหรัฐฯ ได้ผลบวกจากนโยบายทรัมป์ส่งผลดีต่อบริษัทต่างๆ เช่นการลดภาษี ทำให้ดึงดูดเงินเข้าสหรัฐฯมาก จึงเป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นสหรัฐฯและประเทศพัฒนาแล้ว รวมถึงแนวโน้มเทคโนโลยียังเติบโตจากความต้องการใช้ที่มีมาก จึงยังมองบวกหุ้นเทคโนโลยีในสหรัฐฯ

“ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ น่าจะดีขึ้น อัตราดอกเบี้ยไม่ได้ลดมากเท่าที่ควร ทำให้ดอกเบี้ยสหรัฐฯสูงกว่าประเทศอื่นๆ หนุนให้ค่าเงินดอลลาร์แข็ง และกรณีเกิดวิกฤติทำให้เศรษฐกิจโลกดูไม่ดี เงินดอลลาร์ก็เป็นสกุลที่คนเข้าไปถือครอง จึงยังมองบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่วนกรลงทุนตราสารหนี้สกุลดอลลาร์ ได้ปรับเปลี่ยนมุมมองลงจากก่อนหน้านี้เป็น Neutral จากแนวโน้มดอกเบี้ยที่อาจลดลงน้อยกว่าคาดและยังคาดการณ์ได้ยากว่าเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้นหรือไม่ เพราะเศรษฐกิจจะไปต่อเนื่องหรือ Soft Landing”นายดองเย กล่าว

ขณะเดียวกันแม้ว่านโยบายของทรัมป์จะมีผลกระทบต่อประเทศที่กำลังพัฒนา โดยเฉพาะจีน แต่มองว่าเป็นโอกาสเข้าลงทุนในตลาดเกิดใหม่ เช่น จีนและอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศขนาดใหญ่และขับเคลื่อนภูมิภาคเอเชีย ซึ่งจีนมีศักยภาพและผลักดันเศรษฐกิจได้หลังผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วและน่าจะเติบโตได้ต่อเนื่อง บวกกับราคาหุ้นจีนมีราคาถูก 15% เมื่อเทียบอดีต ขณะที่ปัจจุบันมีการซื้อหุ้นคืนจำนวนมาก จึงมองหุ้นจีนน่าสนใจและจะส่งผลดีต่อตลาดเกิดใหม่โดยรวม ส่วนหุ้นจีน แม้ราคาหุ้นจะอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียประเทศอื่นๆ แต่ภาพนี้เกิดขึ้นมานานแล้วและอินเดียยังมีการเติบโตที่ดีและเป็นตลาดหุ้นที่ไม่ค่อยอิงกับความผันผวนของตลาดหุ้นสหรัฐฯและจีน เนื่องจากเศรษฐกิจอินเดียพึ่งพาการผลิตในประเทศและการบริโภคในประเทศเป็นหลัก

ส่วนมุมมองต่อการลงทุนในคริปโต มองเป็นหนึ่งสินทรัพย์ที่มีไว้ในพอร์ตการลงทุนและเก็งกำไรระยะสั้น โดยต้องรอดูนโยบายของทรัมป์จะออกมาตามที่หาเสียงไว้หรือไม่ รวมทั้งกระจายการลงทุนในทองคำและน้ำมัน เพื่อกระจายความเสี่ยงให้แก่พอร์ตโดยรวม

นายดองเย กล่าวว่า สำหรับปัจจัยเสี่ยงมี 4 ประเด็น คือ 1.การเมืองในตะวันออกกลาง แม้ทรัมป์บอกจะเป็นตัวกลาง 2.การเมืองในสหรัฐฯ แม้พรรครีพับริกันจะชนะเลือกตั้ง แต่เป็นไปได้ที่นโยบายบางอย่างที่ทรัมปอยากทำ แต่อาจไม่ได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกที่กังวลจะกระทบฐานเสียงของตัวเอง อาจทำให้เสียงไม่เห็นด้วย 3.เงินเฟ้อจากที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะอยู่ขาลง หากพลิกลับขึ้นมาเป็นความเสี่ยง 4.ดอกเบี้ยที่ไม่ได้ลงมากแล้ว ก็อาจกลับด้านเป็นขึ้นได้

นายพงค์ธาริน ทรัพยานนท์, Head of Fixed Income and Asset Allocation บลจ.อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) กล่าวว่า สำหรับตลาดหุ้นไทย มองการกลับมาของทรัมป์ส่งผลบวกทำให้ไทยได้รับอานิสงส์จากการย้ายฐาการผลิตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไทยเป็นหนึ่งทางออกของจีนจากนโยบายของทรัมป์ ประกอบกับค่าเงินบาทยังมีทิศทางอ่อนค่า ช่วยหนุนภาคการส่งออก ซึ่งถือเป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลักให้กับเศรษฐกิจไทย พร้อมประเมินอัตราการเติบโตของกำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS Growth) ในปี 2568 ขยายตัว 8-10% ค่า P/E ประมาณ 15 เท่า จึงประเมินเป้าหมายดัชนี SET อยู่ในกรอบ 1,500-1,600 จุด ซึ่งมุมมองหุ้นไทยไม่ได้เปลี่ยนไปมาจากรู้ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ

“แนวโน้มดอกเบี้ยสหรัฐฯที่อาจลดลงน้อยกว่าคาด อาจทำให้ดอกเบี้ยนโยบายของไทยไม่ลดลงและปัจจุบันเงินบาทอ่อนค่าลงและมีโอกาสไปแตะ 35 บาท/ดอลลาร์ จึงเชื่อว่าการเมืองคงไม่กดดันแบงก์ชาติให้ลดดอกเบี้ยเหมือนช่วงที่ผ่านมาซึ่งเงินบาทแข็ง”นายพงษ์ธารินทร์ กล่าว

ทั้งนี้ บลจ.อเบอร์ดีนแนะนำจัดพอร์ตการลงทุนหลักด้วย Asset Allocation สำหรับตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว แนะนำกองทุน ABGDD-A / ABGDD-R และ ABWOOF ตลาดหุ้นในประเทศเกิดใหม่แนะนำกองทุน ABGEM และ ABAPAC เสริมพอร์ตด้วยธีมนวัตกรรมและหุ้นเล็กสหรัฐฯ แนะนำกองทุน ABINNO-A และ ABAGS ส่วนการลงทุนหุ้นไทย แนะนำกองทุน ABG และ ABSM ส่วนตราสารหนี้แนะนำลงทุนกองทุน ABGFIX-A และ ABINC