MFC มองหุ้นไทย Q4 แกว่งอัพไซด์ 5% รอมาตรการรัฐดัน SET ปีหน้า 1,760 จุด

HoonSmart.com>> “บลจ.เอ็มเอฟซี (MFC) ประเมินหุ้นไทยไตรมาส 4/66 ขาดปัจจัยหนุน ดัชนีปิดสิ้นปีอาจไม่ถึง 1,600 จุด ส่วนกรอบล่างแถว 1,450 จุด มองข้ามช็อตปี 67 หวังมาตรการรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจดึงฟันด์โฟลว์ไหลเข้า หนุนดัชนีแตะ 1,760 จุด อาจมีลุ้น 1,800 จุด พร้อมแนะกระจายลงทุนต่างประเทศ ให้น้ำหนักหุ้นสหรัฐฯ-ญี่ปุ่น ส่วนหุ้นจีนถ้ามีแล้วไม่แนะซื้อเพิ่ม แย้มเล็งออก “กองทุนหุ้นอินเดีย” มองเติบโตต่อเนื่อง

ดร.ชาญวุฒิ รุ่งแสงมนูญ

ดร.ชาญวุฒิ รุ่งแสงมนูญ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี (MFC) เปิดเผยว่า แนวโน้มหุ้นไทยในไตรมาส 4/66 มองดัชนีจะเคลื่อนไหว Sideways เนื่องจากตลาดขาดปัจจัยบวกสนับสนุน ขณะที่นักวิเคราะห์ยังปรับลดประมาณการกำไรบริษัทจดทะเบียน จึงมองอัพไซด์ประมาณ 5% ส่วนดัชนีปลายปีนี้น่าจะใกล้ๆ 1,600 จุด ส่วนกรอบล่างมองที่ระดับ 1,450 จุด

อย่างไรก็ตามมองว่าตลาดน่าจะมองข้ามไปปี 2567 ว่าเงินต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์) จะเข้ามาด้วยความหวังนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล การแจกเงินดิจิทัลและมาตรการอื่นๆ น่าจะส่งผลชัดเจน โดยเฉพาะฟรีวีซ่าที่อาจเห็นไฮไลท์ในช่วงตรุษจีนจะเร่งตัวขึ้น จึงมองหุ้นไทยจะปรับตัวขึ้นได้ค่อนข้างดีไปพร้อมกับเศรษฐกิจ จึงมองมุมบวกตลาดหุ้นไทย

“ถ้าปีนี้ดัชนีปิดแถว 1,600 จุด ก็อาจเห็นดัชนีเติบโตได้สองหลักในปีหน้า ดัชนีแถว 1,760 จุด หากตลาดเติบโตได้เกิน 10% ก็แตะ 1,800 จุดได้ แต่ตอนนี้ยังเร็วเกินไปที่จะมองเป้าหมายที่ชัดเจน ต้องรอดูตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆ ก่อน”ดร.ชาญวุฒิ กล่าว

ส่วนกรณีที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ในสัปดาห์ที่ผ่านมานั้น ส่วนหนึ่งอาจเพราะค่าเงินบาทอ่อนค่ามาก รวมทั้งมาตรการของรัฐบาลที่จะออกมาอาจทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น ในจังหวะนี้กนง.จึงอาจตัดสินใจปรับขึ้นดอกเบี้ย ขณะที่ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ขึ้นมาที่ 5.25% ส่วนดอกเบี้ยนโยบายของไทยอยู่ที่ 2.5% ซึ่งมีส่วนต่างอยู่มาก

สำหรับกองทุนหุ้นไทย แนะนำ M-MIDSMALL, M-FOCUS, M-S50, HI-DIV, MBT-G

ดร.ชาญวุฒิ กล่าวว่า MFC ยังคงเน้นแนะนำนักลงทุนให้มีการกระจายการลงทุนไปต่างประเทศ เพื่อโอกาสในการสร้างผลตอบแทนและกระจายการลงทุน โดยมองตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังน่าสนใจ แม้ล่าสุดเฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25-5.50% พร้อมส่งสัญญาณดอกเบี้ยสูงนานกว่าตลาดคาด

ทั้งนี้ MFC มองดัชนี S&P500 ที่ระดับ 4,200-4,300 จุด เป็นแนวรับที่น่าสนใจทยอยลงทุนสำหรับหุ้นเติบโตคุณภาพดี (Quality Growth) จากผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในครึ่งปีหลังที่มีโอกาสฟื้นตัวจากจุดต่ำสุดในไตรมาส 2 อีกทั้งตาม Seasonality ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักจะปรับตัวขึ้นได้ดีในไตรมาส 4 ซึ่งกองทุนแนะนำ ได้แก่ MGF, M-EDGE, MCONT

นอกจากนี้ยังมองตลาดหุ้นญี่ปุ่นน่าสนใจจากหลายปัจจัยสนับสนุน และรัฐบาลยังดำเนินนโยบายที่ผ่อนคลาย อัดฉีดเงินเข้าระบบ รวมถึงตลาดหุ้นเวียดนามที่เศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโตได้ในระดับสูง เหมาะกับการลงทุนในระยะยาว ซึ่งตลาดยังเป็นที่สนใจของนักลงทุนเห็นได้จากดัชนีที่ย่อตัวลงมากๆ จะมีแรงซื้อกลับเข้ามา แต่ตลาดก็ยังมีความผันผวน

ส่วนตลาดหุ้นอินเดีย เป็นอีกหนึ่งตลาดที่น่าสนใจแต่ถูกมองข้าม เห็นได้จากเม็ดเงินของนักลงทุนไทยที่ออกไปลงทุนค่อนข้างน้อย เห็นได้จากกองทุนรวมของไทยที่ไปลงทุนต่างประเทศ (FIF) ลงทุนมากสุดอยู่ในกองทุนหุ้นโลก และกองทุนหุ้นจีน แต่ถ้ามองไปที่กองทุนหุ้นอินเดีย คิดเป็นเพียง 10% ของกองทุนหุ้นจีนเท่านั้น คิดเป็นสัดส่วนเพียง 10% ของเม็ดเงินที่ออกไปลงทุนตลาดหุ้นจีน

อย่างไรก็ตามบลจ.เอ็มเอฟซีเองมีแผนจะออกกองทุนหุ้นอินเดีย เนื่องจากมองแนวโน้มเศรษกิจเติบได้ต่อเนื่องในระยะยาว และโตได้โดดเด่นในเอเชีย เพียงแต่หุ้นในตลาดไม่ค่อยหวือหวา ไม่ค่อยมีสตอรี่ ไม่ได้เป็นเมกะเทรนด์ จึงไม่ค่อยดึงดูกนักลงทุนมากนัก อย่างไรก็ตามแต่ตราบใดที่บริษัทในตลาดยังมีกำไรที่เติบโตก็สร้างผลตอบแทนให้แก่นักลงทุนและหนุนตลาดหุ้นไปได้ต่อ และหากดูผลตอบแทนย้อนหลัง 20 ปี การลงทุนในหุ้นอินเดียเมื่อเทียบหุ้นสหรัฐฯ พบว่าหุ้นอินเดียให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า

สำหรับตลาดหุ้นจีนมองราคาหุ้นสะท้อนความเสี่ยงไปค่อนข้างมากแล้ว หากนักลงทุนที่ยังไม่มีหุ้นจีนในพอร์ตอาจทยอยซื้อได้ ส่วนนักลงทุนที่ถือหุ้นจีนอยู่แล้ว ไม่แนะนำให้ซื้อเพิ่ม แต่ให้เลือกซื้อตลาดหุ้นอื่นๆ ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า