“ดร.การดี” คาดปี 2562 ตลาดคริปโตฯ กลับมาเกิดใหม่ ICO คึกคัก หลัง ก.ล.ต. เห็นชอบ ICO Portal ภายในสิ้นปีนี้ หนุนวอลุ่มซื้อขายโต 500% ใน 3 ปี เชื่อโตได้อีกถ้าเปิดเพดานเงินลงทุนขั้นต่ำ ลดเวลา-ค่าใช้จ่ายในการระดมทุน เตือนระวังกลโกงรูปแบบใหม่ หลอกว่าเป็นโบรกเกอร์ขาย ICO แล้วเชิดเงินหนี
ดร.การดี เลียวไพโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ก่อตั้ง บริษัท ไอโคร่า (ICORA) ที่ปรึกษาให้กับธุรกิจที่ต้องการระดมทุนด้วยการออกสินทรัพย์ดิจิทัล หรือ ICO (Initial Coin Offering) คาดว่า ในปี 2562 จะเป็นปีที่ประเทศไทยจะมีการระดมทุนด้วย ICO จำนวนมาก เพราะมั่นใจว่าสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จะสามารถให้ความเห็นชอบผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล (ICO portal) 2-3 รายได้ภายในสิ้นปีนี้
“ตั้งแต่ต้นปีหน้าเป็นต้นจะเป็นยุค ICO Reborn โลกของ ICO เกิดขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง หลังจากหยุดไปหลักจาก พ.ร.ก. การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 ออกมาเมื่อเดือน ก.ค. เพราะฉะนั้นจากยุคฝุ่นตลบของสินทรัพย์ดิจิทัลไทย ตอนนี้ก็เคลียร์ไปมากแล้ว มีความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเติบโตไปสู่การเป็น Digital Asset Hub ได้ไม่ยาก” ดร.การดี กล่าว
ทั้งนี้ ในปี 2560 ทั่วโลกมีการออก ICO จำนวน 300-400 ราย มูลค่ารวม 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ปี 2561 จนถึงเดือน พ.ย. มีการออก ICO ไปแล้ว 1,153 ราย มูลค่ารวม 7,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ดร.การดี ยังกล่าวอีกว่า “ICORA เป็นหนึ่งรายที่อยู่ในกระบวนการพิจารณาของ ก.ล.ต. ซึ่งขณะนี้เรามีลูกค้าที่เตรียมออก ICO ประมาณ 10 ราย โดยมี 2 รายที่พร้อมออกได้ทันที มูลค่ารายละประมาณ 300 ล้านบาท รายหนึ่งเป็น FinTech ไทย อีกรายหนึ่งเป็น HealthTech จากต่างประเทศ และคาดว่าเราจะมี ICO ออกมาเสนอขายอย่างน้อยเดือนละ 1 ตัว”
นอกจากนี้ ดร.การดี ยังแนวโน้มการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลและการออก ICO ในปี 2562 ว่า ที่ผ่านมาธุรกิจที่นิยมออก ICO จะเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยี และ Fintech แต่หลังจากนี้ธุรกิจดั้งเดิมจะหันมาระดมทุนด้วย ICO มากขึ้น เช่น ธุรกิจการท่องเที่ยว และอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้งบริษัทขนาดกลางและสตาร์ทอัพ
ขณะที่รูปแบบการ ICO จะเข้าใจง่ายมากขึ้น จากรูปแบบ Utility Token มาสู่ Security Token Offering (STO) ที่มีการแบ่งผลกำไรจากผลประกอบการจริง สามารถตรวจสอบ จึงเป็นวิธีลงทุนที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้มากขึ้น
ICORA คาดว่า ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลของไทยจะได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากขึ้น ทั้งนักลงทุนไทยและต่างประเทศ โดยเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดดมากกว่า 500% ใน 3 ปีข้างหน้า ทำให้มูลค่าการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลเฉลี่ย 100 ล้านบาทต่อวัน อยู่ในอันดับที่ 10 ของเอเชีย เพิ่มขึ้นมาติด 1 ใน 5 ของเอเชียได้
“ตลาดโลกสนใจเข้ามาลงทุนตลาดของไทยมากขึ้น เพราะไทยจะเป็นประเทศแรกที่อนุญาตให้มี ICO Portal ซึ่งต่อไปก็จะมีบริษัทที่เข้าระบบ ICO อย่างถูกต้องมากยิ่งขึ้น มีคุณภาพมากเกิดขึ้นอีกมากมาย บริษัทที่อยู่ในรูปแบบธุรกิจปกติมีพื้นฐานทางธุรกิจที่จับต้องได้ก็จะเริ่มเข้ามาระดมทุน ICO กัน” ดร.การดี กล่าว
อย่างไรก็ตาม ดร.การดี กล่าวว่า ตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลของไทยมีโอกาสที่จะเติบโตได้มากขึ้น หากมีการผ่อนปรนกฎเกณฑ์เรื่องการกำหนดเพดานจำนวนเงินลงทุนสำหรับนักลงทุนรายย่อยไว้ที่รายละไม่เกิน 3 แสนบาทต่อโครงการ ทั้งนักลงทุนไทยและต่างประเทศ ซึ่งเป็นการปิดโอกาสที่จะมีเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ จึงเสนอให้ ก.ล.ต. มีการขยายเพดาน หรือ ผ่อนปรนหลักเกณฑ์ดังกล่าว
“นอกจากนี้ ถ้าทำให้ต้นทุนและระยะเวลาในการออก ICO ลดลงจะทำให้ตลาดไทยน่าสนใจมากขึ้น เพราะในปัจจุบันการออก ICO มีค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ต่างๆ เช่น การทำ e-KYC การรายงานข้อมูล ประมาณ 3 ล้านบาท โดยยังไม่รวมค่าที่ปรึกษาของ Portal ซึ่งเป็นต้นทุนที่ค่อนข้างสูง ขณะที่กระบวนการ ICO ใช้เวลาประมาณ 6-12 เดือน ซึ่งอาจจะช้าเกินไป ควรจะใช้เวลาไม่เกิน 6 เดือน”
ดร.การดี กล่าวอีกว่า การจำกัดเพดานเงินลงทุนต่อรายอาจทำให้เกิดการฉ้อโกงโดยการใช้ชื่อผู้อื่นลงทุนแทน ในกรณีที่นักลงทุนต้องการลงทุนมากกว่าจำนวนที่กำหนด
“เมื่อก่อนการฉ้อโกงจะทำกันง่ายๆ โดยการคิดโครงการออก ICO แต่ไม่มีโครงการจริง ได้เงินแล้วหนีไป ตอนนี้มีรูปแบบใหม่ คือ แอบอ้างเป็นโบรกเกอร์ หรือ ดีลเลอร์หลอกว่าสามารถลงทุนใน ICO ดีๆ ได้ แต่เมื่อได้เงินจากนักลงทุนก็หนีไป ซึ่งต้องจับตาให้ดี” ดร.การดี กล่าว
ทั้งนี้ ICORA ยังดำเนินธุรกิจด้าน Academy ภายใต้ชื่อ ICORA Academy เพื่อเป็นศูนย์รวมการเรียนรู้เกี่ยวกับ Cryptoasset แบบครบวงจร โดยมีหลักสูตร Cryptoasset Revolution ซึ่งเปิดเป็นรุ่นที่ 2 ในเดือน ม.ค. 2562 นี้ หลังจากรุ่นที่ 1 ได้รับเสียงตอบที่ดีจากผู้บริหารระดับสูงทางภาพรัฐและนักธุรกิจระดับแนวหน้าของไทย และจะมีหลักสูตรอื่นๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมให้กับนักธุรกิจไทยสำหรับตลาด Cryptoasset ที่จะเติบโตในปีหน้า
หลักสูตร “Cryptoasset Revolution รุ่นที่ 2” มีเนื้อหาครอบคลุม เจาะลึกในเรื่องของ Crypto Economy ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของระบบเศรษฐกิจแบบใหม่ของโลก โดยหลักสูตรมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญทั้งไทยและต่างประเทศมาถ่ายทอดประสบการณ์เชิงลึกด้านการลงทุน การระดมทุนในระบบเศรษฐกิจดิจิทัล โดยเน้นให้ความรู้แบบองค์รวมให้ผู้เรียนได้เข้าใจโอกาสของเทคโนโลยีบล็อคเชน Cryptocurrency และ ICO อย่างถ่องแท้ ผ่านการทำกิจกรรมเสมือนจริงที่จะให้ผู้เรียนได้รู้จักการวางแผนจริง เพื่อเข้าใจในระบบไม่ใช่แค่รู้แต่ทฤษฏีเพียงเท่านั้น
สำหรับรุ่น 2 นี้ ที่จะได้สนุกกับการเรียนรู้จริงทดลองลงทุนจริงจาก Coin ในการแลกของหรือการประมูลซื้อของ โดยเหรียญที่ออกโดย ICORA รวมถึงมองเทรนด์โอกาสและรู้จักวิธีรับมือกับวิกฤติต่างๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต โดย “Cryptoasset Revolution รุ่นที่ 2” เปิดรับสมัครตั้งแต่วันนี้ ถึง 30 พ.ย. นี้ ทาง www.cryptoassetrev.com/register/