HoonSmart.com>> “ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป” (TISCO) รายแรกเปิดงบไตรมาส 3/67 กำไรสุทธิ 1,713 ล้านบาท ลดลง 8.6% จากงวดปีก่อน เหตุตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตคาดเพิ่มสูงขึ้น สะท้อนความเสี่ยงเศรษฐกิจยังเปราะบาง ด้านรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 1.0% รายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจหลักฟื้นตัว ส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิชะลอตัว 3% ต้นทุนการเงินสูงขึ้นปรับเพิ่มดอกเบี้ยเงินฝาก ฉุดงวด 9 เดือน กำไร 5,199 ล้านบาท ลดลง 5.8%
บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป (TISCO) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2567 (สิ้นสุดวันที่ 30 ก.ย.) มีกำไรสุทธิ 1,713.43 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 2.14 บาท ลดลง 8.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 1,874.48 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 2.34 บาท
ส่วนงวด 9 เดือน ปี 2567 กำไรสุทธิ 5,199.47 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 6.49 บาท ลดลง 5.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 5,520.95 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 6.90 บาท
นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานของกลุ่มทิสโก้งวดไตรมาส 3 ปี 2567 บริษัทมีกำไรสุทธิลดลง 8.6% จากไตรมาส 3 ปี 2566 สาเหตุหลักมาจากสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss – ECL) ที่เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความเสี่ยงทางเศรษฐกิจและหนี้ภาคครัวเรือนที่ยังคงเปราะบาง
ในส่วนของรายได้รวมจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 1.0% จากการฟื้นตัวของรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจหลัก โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวกับตลาดทุน ประกอบกับการรับรู้กำไรจากพอร์ตเงินลงทุน ค่าธรรมเนียมธุรกิจหลักทรัพย์ขยายตัว 9.9% จากส่วนแบ่งทางการตลาดของ บล.ทิสโก้ ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงมีการรับรู้รายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจวาณิชธนกิจ จากการเป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้น IPO รายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจจัดการกองทุนเพิ่มขึ้น 6.6% สอดคล้องกับการเติบโตของสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร ด้านรายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลง 3.0% จากต้นทุนทางการเงินที่ปรับเพิ่มขึ้น ด้านค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานปรับตัวลดลงจากค่าใช้จ่ายพนักงานและค่าใช้จ่ายด้าน IT
สำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปี 2567 กำไรสุทธิมีจำนวน 5,199 ล้านบาท ลดลง 5.8% จาก 9 เดือนแรกของปี 2566 จากสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นที่เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 0.6% ของยอดสินเชื่อเฉลี่ย เทียบกับสำรองที่ 0.1% ของยอดสินเชื่อเฉลี่ยในปีก่อนหน้า เพื่อรองรับความเสี่ยงจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า และหนี้ครัวเรือนที่ทรงตัวในระดับสูง ซึ่งถือเป็นไปตามกลยุทธ์ที่วางไว้ขององค์กร นั่นคือ การมุ่งเน้นคุณภาพในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ และดำเนินนโยบายการบริหารจัดการความเสี่ยงด้วยหลักความระมัดระวัง (Prudent) อย่างไรก็ดี บริษัทยังคงรักษาความสามารถในการสร้างอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นเฉลี่ย (ROAE) ใน 9 เดือนแรกของปีที่ 16.5%
ด้านรายได้รวมจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 2.9% จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่ขยายตัว 1.0% ตามการเติบโตของเงินให้สินเชื่อที่มีผลตอบแทนในระดับสูง รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยปรับตัวดีขึ้น 7.6% จากการรับรู้กำไรจากเงินลงทุน และรายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจวาณิชธนกิจ รวมถึงรายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจจัดการกองทุนที่เติบโตได้ 2.7% แม้ในภาวะที่ตลาดไม่เอื้ออำนวย
อย่างไรก็ตาม ธุรกิจหลักทรัพย์ในช่วง 9 เดือนแรกยังคงอ่อนแอตามมูลค่าการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ซบเซา และค่าธรรมเนียมธุรกิจธนาคารพาณิชย์ลดลง เป็นผลมาจากการชะลอตัวของธุรกิจนายหน้าประกันภัยที่ได้รับผลกระทบจากยอดขายรถยนต์ในประเทศที่อ่อนตัวลง
ในส่วนของธุรกิจหลัก กลุ่มทิสโก้ มีการปรับแผนการดำเนินธุรกิจให้สอดรับกับความเสี่ยงจากปัจจัยทางเศรษฐกิจที่มีอยู่รอบด้านให้มีความรัดกุมยิ่งขึ้น สะท้อนจากตัวเลขสินเชื่อรวมที่ลดลง 2.1% จากสิ้นปีที่แล้ว โดยเฉพาะกลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อรถใหม่ ซึ่งได้รับผลกระทบจากยอดขายรถยนต์ในประเทศที่ลดลงมากกว่าคาด และการเพิ่มความเข้มงวดในการประเมินสินเชื่อ แต่บริษัทยังสามารถควบคุมการเพิ่มขึ้นของหนี้ด้อยคุณภาพ (NPLs) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเอ็นพีแอลในไตรมาสนี้ทรงตัวจากไตรมาสก่อนที่ระดับ 2.4% ด้วยกระบวนการติดตามดูแลลูกหนี้อย่างใกล้ชิด และการบริหารจัดการสินเชื่อในเชิงรุก ขณะที่ต้นทุนทางการเงินแม้จะปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน แต่เริ่มเห็นสัญญาณเข้าใกล้ระดับสูงสุด ตามทิศทางดอกเบี้ยนโยบายที่มีแนวโน้มปรับลดลงในอนาคต
ด้านรายได้ค่าธรรมเนียมฟื้นตัวได้ดีขึ้น โดยเฉพาะจากธุรกิจตลาดทุน โดยธุรกิจหลักทรัพย์เติบโตได้อย่างดี จากความสามารถในการขยาย Market Share ของบล.ทิสโก้ และการฟื้นตัวของตลาดหุ้นไทยหลังการเปิดตัวกองทุนวายุภักษ์และการให้การสนับสนุนการลงทุนระยะยาวผ่านกองทุน ESG ทำให้มีเงินทุนไหลกลับเข้าสู่ตลาดทุนไทยในช่วงสิ้นไตรมาส
ส่วนธุรกิจจัดการกองทุนขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จากการเป็นผู้นำตลาดในธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ทำให้ บลจ.ทิสโก้ สามารถสร้างรายได้ที่มั่นคงแม้ในช่วงที่ภาวะตลาดไม่เอื้ออำนวย
มองไปในระยะข้างหน้า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป นำโดยภาคการส่งออกสินค้าที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญ การผลิตภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนภาคเอกชนที่เริ่มฟื้นตัว แต่ต้องจับตาความท้าทายเรื่องหนี้ครัวเรือนอย่างใกล้ชิด จากปัญหาหนี้สะสมและรายได้ของประชาชนที่โตช้าและการด้อยลงของคุณภาพสินเชื่อ รวมถึงผลกระทบจากสถานการณ์น้ำท่วมที่ทำให้เกิดความยากลำบากต่อประชาชนในพื้นที่ยิ่งขึ้นไปอีก อย่างไรก็ดี คาดว่าในปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวที่ระดับ 2.8%
ทั้งนี้ กลุ่มทิสโก้จะมุ่งดำเนินธุรกิจด้วยความรอบคอบรัดกุม โดยเน้น “คุณภาพในการเติบโต” ผนวกกับการใช้ความเชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการความเสี่ยง เพื่อสร้างเสถียรภาพและการเติบโตอย่างยั่งยืนให้แก่องค์กร รวมถึงดูแลผู้มีส่วนได้เสียในทุกมิติภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ดี โดยเฉพาะในมิติของการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากการเติบโตที่ยังไม่ทั่วถึงทางเศรษฐกิจและสถานการณ์น้ำท่วม ผ่านการนำเสนอมาตรการช่วยเหลือตามแนวทางการปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบและเป็นธรรม ที่เปิดโอกาสให้ลูกหนี้ปรับโครงสร้างหนี้ได้ตามความสามารถในการชำระหนี้ (Pre-emptive Debt Restructuring) ขณะที่อีกด้านจะเดินหน้ายกระดับความเป็นอยู่และสร้างคุณภาพชีวิตทางการเงินที่ดี (Financial for Well-being) แก่สังคมในระยะยาว ผ่านโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ ที่จัดขึ้นเป็นประจำ อาทิ กิจกรรมฉลาดเก็บฉลาดใช้ รู้ไว้เข้าใจหนี้ ชมรมค่ายการเงินธนาคารทิสโก้
รวมถึงกิจกรรมใหม่อย่าง Smart HR Fin Coach ที่จัดขึ้นเพื่อติวเข้มเรื่องเงินแก่บริษัทนายจ้างสมาชิกกองทุนสำรองเลี้ยงชีพทิสโก้ ทั้งหมดนี้ เพื่อช่วยให้คนไทย “ปลดหนี้มีออม”
นอกจากนี้ กลุ่มทิสโก้ยังมีการปรับปรุงกระบวนการการทำงานเพื่อให้ทันต่อยุคดิจิทัล โดยนำเทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้เป็นเครื่องมือวิเคราะห์ข้อมูลที่จะช่วยให้สามารถคิดค้นพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่จะตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด รวมไปถึงสร้างความมั่งคั่งอย่างมั่นคงให้แก่ลูกค้า ในฐานะ “Your Trusted Financial Advisor” สถาบันการเงินที่คุณเชื่อมั่นไว้วางใจได้