5 โบรกเกอร์ ประสานเสียง เชียร์ GFC เคาะราคาเป้าสูงสุด 11.30 บาทต่อหุ้น

HoonSmart.com>>บริษัท เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์  หุ้นน้องใหม่ ป้ายแดง สุดฮอต 5 โบรกเกอร์  ประสานเสียง ประเมินราคาเป้าหมายสูงสุด ที่ระดับ 11.30 บาทต่อหุ้น จากราคา IPO 7.00 บาทต่อหุ้น ระบุ GFC จ่อเปิดสาขาใหม่ 2 แห่ง “สุวรรณภูมิ-พระราม 9 และ คลินิกสาขาอุบลราชธานี” หนุนผลงานปี 67 เติบโตโดดเด่น

บริษัท เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ (GFC) ชูจุดเด่นหนึ่งในผู้นำด้านการให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีบุตรยาก รายแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ที่ทันสมัยแห่งหนึ่งของประเทศไทย ตั้งแต่ให้คำแนะนำ คำปรึกษา ตลอดจนการเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสม โดยทีมแพทย์และนักวิทยาศาสตร์ผู้ชำนาญการที่มีประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีช่วยการเจริญพันธุ์ เตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) หมวดธุรกิจบริการ ในวันที่ 13 กันยายน 2566 ล่าสุด 5 โบรกเกอร์ ได้แก่ บล.บียอนด์ , บล.โกลเบล็ก , บล.ฟินันเซีย ไซรัส , บล.กรุงศรี พัฒนสิน และ บล.ดาโอ ประสานเสียง GFC เป็นหุ้นน้องใหม่ IPO น่าลงทุนและมีความโดนเด่น ประเมินราคาเป้าหมายที่ระดับ 9 – 11.30 บาทต่อหุ้น จากราคาเสนอขาย IPO ที่ 7.00 บาทต่อหุ้น เนื่องจากGFCเป็นหุ้นเฉพาะทางด้านการแพทย์สำหรับผู้มีบุตรยาก ซึ่งจัดอยู่ในหุ้นกลุ่มเมกะเทรนด์ที่น่าจับตา

บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์  ประเมินราคาเป้าหมายที่เหมาะสมของ บมจ.เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ “GFC” โดยให้ราคาเป้าหมายที่เหมาสมที่ระดับ 11.30 บาทต่อหุ้น อ้างอิง P/E ปี 2567 ที่ 28 เท่า มองทิศทางการเติบโตทางธุรกิจ GFC จะมีกำไรสุทธิเติบโตในปี 2566 -2568 คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ที่ 21.3% พร้อมคาดการณ์อัตรากำไรสุทธิของ GFC จะเพิ่มขึ้นจาก 16% ในปี 2566 เป็น 21% ในปี 2568 ทั้งนี้จากการขยายสาขาใหม่ “สุวรรณภูมิ-พระราม 9 และ คลินิกสาขาอุบลราชธานี”จะเป็นการรองรับการให้บริการเพิ่มขึ้น ซึ่งจะผลักดันการเติบโตของ GFC เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก ให้ราคาเหมาะสม “GFC”ที่ 10.10 บาทต่อหุ้น โดยมีมุมมองบวกต่อแนวโน้มอุตสาหกรรมการให้บริการรักษาภาวะมีบุตรยากของประเทศไทย ทั้งจากคนไข้ต่างชาติในแง่ Medical Tourism ประกอบกับอัตราค่าบริการการรักษาที่ถูกกว่าประเทศในภูมิภาคราว 40% และถูกกว่าประเทศที่พัฒนาแล้วราว 68% นอกจากนี้ จำนวนประชากรไทยที่เกิดใหม่มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาภาวะ มีบุตรยากจึงเป็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจรักษาภาวะมีบุตรยากของประเทศไทยจากคนไข้ทั้งในประเทศและต่างประเทศ พร้อมประเมินรายได้จากการดำเนินงานของบริษัทในช่วงปี2566 – 2567 ที่ระดับ 312 ล้านบาท และ 479 ล้านบาทตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 32% ต่อปี ปัจจัยสนับสนุน คือ1) คลินิกสาขาเดิมพระราม 3 เติบโตตามแนวโน้มจานวนคนไข้ที่เข้ามารับบริการเพิ่มขึ้นจากสถานการณ์โควิด 19 ที่คลี่คลายลง ซึ่งคาดจะเติบโตเฉลี่ยราว 10% ต่อปี และ 2) การขยายคลินิกสาขาใหม่ 2 แห่ง คือ คลินิกสาขาสุวรรณภูมิ พระราม 9 และคลินิกสาขาอุบลราชธานี ขณะที่กำไรสุทธิปี2566 -2567 อยู่ที่ 49 ล้านบาท25% YoY และ 82 ล้านบาท +54%YoY ตามลำดับ หรือคิดเป็นการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 12% ต่อปี

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี พัฒนสิน  ประเมินมูลค่าพื้นฐานของ GFC ที่ 10.10 บาทต่อหุ้น โดย re-lated PE ของ GFC ที่ระดับ Premium กลุ่มการแพทย์ เนื่องจาก 1) GFC มีข้อได้เปรียบในการแข่งขันจากจุดเด่นศักยภาพให้บริการครบวงจร มีทีมแพทย์และบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญ และมีชื่อเสียงในตลาด 2) มีการใช้เทคโนโลยี EEVA ร่วมวินิจฉัยและประเมินตัวอ่อน ทำให้ใน 1Q23 มีอัตราความสำเร็จในการตั้งครรภ์จากวิธี ICSI และวิธี ICSI +NGS ที่ 68% และ 73% ตามลำดับ สูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ 45% 3) มีโอกาสเติบโตสูงจากการเปิด 2 สาขาใหม่ และขยายลูกค้าต่างชาติ จะเป็นS-Curve ใหม่ของการเติบโตระยะยาว 4) ธุรกิจหลักของ GFC อยู่ในอุตสาหกรรมที่มีแนวโน้มการเติบโตขาขึ้น และ 5) การให้บริการทางการแพทย์สำหรับผู้มีบุตรยากเป็นบริการเฉพาะกลุ่ม ทำให้ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่มีความอ่อนไหวต่อราคาไม่มากและมีอัตราทำกำไรสูงกว่าธุรกิจโรงพยาบาล พร้อมประเมินการเติบโตของ GFC ในปี 2024-2025 คาดกำไรสุทธิ 77 ล้านบาท และ 91 ล้านบาท ตามลำดับ หรือเติบโตเฉลี่ยต่อปี 32% CAGR จากปัจจัยสนับสนุน 1) รายได้เติบโตต่อปีเพิ่มขึ้น 24%CAGR จากการเปิด 2 สาขาใหม่ทำให้มีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้น 2) ปี 2025 เริ่มเห็นผลบวก Economies of scale ของผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทำให้มี %Gross margin ที่ 45.9% ดีขึ้นจากปี 2024 และ 3) ค่าใช้จ่ายการเงินลดลงตามเงินกู้สถาบันการเงินลดลงในปี 2024 -2025

บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส ให้ราคาเหมาะสม 10 บาท (บน EPS 0.39 บาท ปี 2024) ด้วยวิธีเปรียบเทียบ Relative PE ของปี 2024 กับค่าเฉลี่ยของกลุ่มโรงพยาบาลที่มีคลินิก IVF เกือบทุกแห่ง และบริษัทต่างประเทศที่ทำคลินิก IVF ซึ่ง เทรด P/E ปี 2024 ทีี่ระดับ 20.5-25.5 เท่า แม้ GFC เป็นบริษัทขนาดเล็ก แต่หากเทียบอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นของ GFC ปี 2024 ที่ 45% ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 10-15% ของหุ้นกลุ่ม ดังนั้นราคาเหมาะสมควรใกล้เคียงค่าเฉลี่ยกลุ่มโรงพยาบาลของไทย ที่ระดับ P/E 25.5 เท่า พร้อมทั้งได้คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2024 ของ GFC เติบโต 45% จากการเปิดคลินิกสาขาสุวรรณภูมิ-พระราม 9 และคาดว่าบริษัทจะยังคงศักยภาพในการเติบโตในปี 2023 – 2024 ได้อย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยหนุนหลักมาจากการเปิดคลินิกสาขาใหม่ ที่จะสามารถเพิ่มสัดส่วนลูกค้าต่างชาติมากขึ้น ขณะเดียวกันยังมีรายได้บริการตรวจโคโมโซม และฝากไข่เพิ่มมากขึ้นหลังมีขยาย LAB เพิ่มขึ้น

ขณะที่ บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย)  ประเมินราคาเหมาะสมที่ 9 บาทต่อหุ้น อิง 2024E PER ที่ี 25 เท่า เทียบเท่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม รพ. เนื่องจากการรักษาภาวะมีบุตรยาก มีความซับซ้อนและต้องการความใส่ใจมากกว่าการรักษาโรคทั่วไป รวมถึงมีอัตราในการทำกำไรมากกว่ารพ.ทั่วไป ทั้งนี้ได้ประเมินกำไรปี 2023-2024 อยู่ที่ 51 ล้านบาท ลดลง 22% (YoY) และ 78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 53% (YoY) จากรายได้ปี 2023 -2024 เติบโตเพิ่มขึ้น 15% และ 37% (YoY) จากปัญหาของสุขภาพของทั้งผู้ชายและผู้หญิง ที่มีความเสี่ยงต่อการมีบุตรยากเพิ่มขึ้น ทำให้จำนวนคนไข้เข้ารับการรักษามากขึ้น ขณะที่รายได้เติบโตแต่ในปี 2023 กำไรถูกกดดันจากค่าใช้จ่ายของพนักงานที่เพิ่มขึ้น รวมถึงจากการเตรียมตัวขยายสาขาในช่วงปลายปี 2023 และเชื่อว่าบริษัทจะมีกำไรจะกลับมาเติบโตในปี 2024 จากการขยายฐานคนไข้ทั้งในกรุงเทพฯ และอุบลราชธานี ที่สามารถรองรับทั้งคนไข้ในประเทศ และต่างประเทศ อาทิ จีน, อินเดีย, ยุโรป, ลาว และกัมพูชา ได้มากขึ้น