BCP+ESSO เพิ่ม EBITDA 3 พันล้านบ. ได้สินทรัพย์ชั้นดี-ปี67ยอดขายแตะ 5 แสนลบ.

HoonSmart.com>> “บางจากฯ” (BCP) ปิดดีลประวัติศาสตร์ ซื้อหุ้น”เอสโซ่ฯ”(ESSO) จากนักลงทุนต่างชาติ 65.99% มูลค่ารวมกว่า 2.26 หมื่นล้านบาท ใช้เงินกู้แบงก์กรุงเทพแค่ 5,000 ล้านบาท เปิดวงเงินเตรียมเทนเดอร์ฯ ส่งผลดีต่อประเทศไทย-ผู้บริโภค-ผู้ถือหุ้น “ชัยวัฒน์” ลั่น 5 ปีคุ้มทุน ขึ้นแท่นผู้นำโรงกลั่นน้ำมันเกือบ 300,000 บาร์เรล/วัน สถานีบริการกว่า 2,200 แห่ง ส่วนแบ่งตลาดขายปลีกน้ำมัน 30% เบอร์สอง เผย Synergy เพิ่ม EBITDA 3 พันล้านบาท ยอดขายพุ่งจาก 3.8 แสนล้านบาทแตะ 5 แสนล้านบาทในปี67 เผยปีนี้ใช้เงินลงทุน 1 แสนล้านบาท เดินหน้าซื้อกิจการ-ทรัพย์สินเพิ่ม  

บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) เปิดเผยว่า ในวันนี้ (31 ส.ค.66) บริษัทได้ชำระค่าซื้อหุ้นของบริษัท เอสโซ่ (ประเทศไทย) หรือ ESSO จำนวน 2,283,750,000 หุ้น คิดเป็น 65.99% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด รวมเป็นเงิน 22,605,926,000 บาท หรือคิดเป็นประมาณ 9.8986 บาท/หุ้น และได้รับโอนหุ้นเรียบร้อย ทำให้เอสโซ่มีสถานะเป็นบริษัทย่อย แหล่งเงินทุนในการซื้อหุ้นส่วนใหญ่ ใช้เงินของบริษัทประมาณ 1.76 หมื่นล้านบาท มีการเบิกใช้เงินกู้ยืมจากธนาคารกรุงเทพ (BBL) เพียง 5,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยประมาณ 4.00% ส่วนวงเงินกู้ที่เปิดไว้ทั้งหมด 3.2 หมื่นล้านบาท เตรียมไว้เทนเดอร์ออฟเฟอร์จากผู้ถือหุ้นทั่วไป คาดว่าทุกอย่างจะแล้วเสร็จประมาณกลางเดือนพ.ย.นี้

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) แถลงว่า บริษัทฯซื้อหุ้นบริษัทเอสโซ่ (ประเทศไทย) หรือ ESSO เป็นการซื้อทรัพย์สิน แต่ไม่ได้ซื้อสูตรในการผลิตน้ำมัน คาดว่าจะสามารถคืนทุนได้ภายใน 5 ปี  ซึ่งการ Synergy จากศักยภาพที่เกื้อหนุนกัน จะช่วยเพิ่มกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษีและค่าเสื่อมราคา (EBITDA)ประมาณ 3,000 ล้านบาท เริ่มตั้งแต่ปีหน้าจำนวน 150 ล้านบาท และปี 2568 ประมาณ 300 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีการตั้งเป้ายอดขายน้ำมันเติบโตแตะ 5 แสนล้านบาท ภายในปี 2567 จากปีนี้คาดทำได้จำนวน 3.8 แสนล้านบาท

” เราได้ทรัพย์สินที่ดี ช่วยสนับสนุนการเติบโตในอนาคตอย่างมีนัยสำคัญ กำลังประเมินมูลค่าทรัพย์สิน ณ วันที่ซื้อ 31 ส.ค.กับมูลค่าที่แท้จริง  หากมีผลกำไรจะรับรู้ครั้งเดียวภายในไตรมาส 3/2566 บริษัทยืนยันไม่มีแผนนำหุ้น ESSO ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ในระยะ 1 ปีข้างหน้า เนื่องจากมองว่าการถือหุ้น ESSO ในสัดส่วน 65.99% เพียงพอแล้ว นอกจากนี้การซื้อหุ้นจากนักลงทุนต่างประเทศ ยังส่งผลดีต่อประเทศไทย ช่วยสร้างความมั่นคงด้านพลังงาน  ผู้บริโภค ทำให้ประชาชนคนไทยเข้าถึงแหล่งพลังงานได้ดีขึ้น และเพิ่ม EBITDA ดีต่อผู้ถือหุ้น โดยมีกระทรวงการคลัง และสำนักงานประกันสังคม เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่  “นายชัยวัฒน์กล่าว

กลุ่มบริษัทบางจากจะมีกำลังการกลั่นน้ำมันสูงสุดในประเทศรวมเกือบ 300,000 บาร์เรลต่อวัน มีส่วนแบ่งตลาดค้าปลีกน้ำมันรวม 30% สูงเป็นอันดับสองรองจากที่หนึ่ง 40% มาจากบางจาก 16.3% และ ESSO  13.7% หลังเข้าดำเนินการโรงกลั่นน้ำมันขนาดกำลังการกลั่น 174,000 บาร์เรลต่อวัน และเครือข่ายคลังน้ำมัน  2 แห่ง ที่ศรีราชาและลำปาง รวมถึงสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศ  832 แห่ง ทำให้มีสถานีบริการน้ำมันทั่วประเทศรวมกว่า 2,200 แห่ง และจะเพิ่มเป็น 2,250 แห่งในปี 2567 ทำให้บริการด้านการตลาดจะครอบคลุมและนำเสนอบริการให้กับลูกค้าได้มากยิ่งขึ้น รวมถึงการได้หุ้นบริษัท ท่อส่งปิโตรเลียมไทย 21% บริษัทบริการเชื้อเพลิงการบินกรุงเทพ (BAFS) 7.06%  ส่วนสมาชิกบัตรเอสโซ่สไมลส์ยังสามารถสะสมคะแนนและแลกคะแนนได้อีก 1 ปีจนถึงวันที่ 31 ส.ค. 2567 หรือโอนมาเป็นสมาชิกบางจากกรีนไมลส์ โดยจะได้รับโบนัสเพิ่ม 100 คะแนน หากโอนย้ายคะแนนภายในวันที่ 30 พ.ย.2566

สำหรับงบลงทุน บริษัทฯ ยังคงงบลงทุนไว้ราว 2 แสนล้านบาท เพื่อรองรับแผนธุรกิจในช่วง 5 ปี (2566-2570) ในปีนี้ใช้เงินลงทุนประมาณ 1 แสนล้านบาท รวมการซื้อหุ้น ESSO แล้ว สำหรับงบลงทุน 5 ปี เพื่อรองรับธุรกิจขุดเจาะและสำรวจแหล่งปิโตรเลียมสัดส่วน 30%, ใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์น้ำมันอากาศยาน  30%,  และการหาเพิ่มโรงกลั่นอีก 1  แห่ง ราว 30% และอีก 10% ใช้รองรับการขยายธุรกิจบริษัทย่อย เช่น บริษัทบีซีพีจี (BCPG) และบริษัท บีบีจีไอ (BBGI)