KTAM มองหุ้นไทยโค้งหลังฟื้นตัวเป้าปีนี้ 1,640 จุด ปีหน้าลุ้น 1,770 จุด

HoonSmart.com>> “บลจ.กรุงไทย” (KTAM) มองแนวโน้มหุ้นไทยสัญญาณฟื้นตัว ท่องเที่ยวไฮซีซั่นหนุน คาดจัดตั้งรัฐบาลดึงฟันด์โฟลว์ไหลกลับ ดาวน์ไซด์หุ้นจำกัด เป้าดัชนีปีนี้ 1,640 จุด ส่วนปีหน้า 1,750-1,770 จุด ด้าน “ตราสารหนี้” ยังน่าสนใจรับดอกเบี้ยใกล้พีค แนะจัดพอร์ตแบบสมดุล พร้อมคัดกองทุนเด่นแนะลงทุน

นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงไทย (KTAM) เปิดเผยถึงภาพรวมเศรษฐกิจและการลงทุนทั่วโลกจากนี้ถึงสิ้นปีว่า ภาพรวมตลาดการลงทุนโลกมีปัจจัยสนับสนุนจากอัตราเงินเฟ้อน่าจะผ่านจุดสูงสุดแล้ว แต่การลดลงของอัตราเงินเฟ้อเป็นไปอย่างเชื่องช้า ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับสูงอีกระยะหนึ่ง แต่ไม่ส่งผลให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) แต่จะเป็นการเติบโตอย่างช้าๆ (Soft Landing) ก่อนที่ธนาคารกลางจะลดอัตราดอกเบี้ยประมาณกลางปีหน้า อย่างไรก็ดี ยังมีปัจจัยเสี่ยง คือ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitical risk) ซึ่งจะนำไปสู่การใช้กำแพงภาษี การย้ายฐานการผลิตเพื่อลดปัญหาอุปทานขาดแคลนจากการกีดกันทางการค้า สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน

สำหรับเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง แต่คาดว่าอัตราการเติบโตยังอยู่ในระดับต่ำ (Slow Growth) จากปัญหาหนี้สูงขึ้นในแทบทุกประเทศ เงินเฟ้อยังน่าจะสูงกว่าเป้าหมายของธนาคารกลางต่างๆ ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายที่เร่งตัวก่อนหน้านี้จะสิ้นสุดวัฎจักรดอกเบี้ยขาขึ้น แต่การปรับดอกเบี้ยลงยังไม่เกิดขึ้นเร็ว ธนาคารกลางต่างๆ ยังน่าจะคงดอกเบี้ยในระดับสูง เพื่อควบคุมเงินเฟ้อให้กลับเข้าสู่กรอบเป้าหมาย แต่ไม่น่าจะทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยที่รุนแรง (Severe Recession) อีกทั้งปัญหาภูมิรัฐศาสตร์จะเห็นความขัดแย้งต่อเนื่อง

คาดกนง.ขึ้นดอกเบี้ยแตะ 2.50%

ส่วนเศรษฐกิจไทย คาดว่าแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องแบบค่อยเป็นค่อยไป จากภาคการท่องเที่ยวหนุน โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากประเทศจีนที่อาจเดินทางเข้ามาในประเทศมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีและต่อเนื่องถึงปีหน้า ส่งผลดีต่อรายได้และการบริโภคในประเทศ ส่วนเงินเฟ้อไทยที่ผ่านมาปรับตัวสูงขึ้นจากปัจจัยด้านอุปทาน (Supply push) แต่ไม่ได้เป็นปัญหายืดเยื้อเหมือนประเทศอื่นๆ ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายอาจไม่สูงนัก คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยเล็กน้อยมาอยู่ที่ระดับ 2.50% เพื่อปรับดอกเบี้ยเข้าสู่ระดับ “สมดุล” และไม่ทำให้ส่วนต่างดอกเบี้ยกับต่างประเทศสูงจนเกินไปนัก แต่ในภาพระยะยาวไทยยังมีความท้าทายด้านความสามารถในการแข่งขันกับประเทศอื่น หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง และประเด็นประชากรสูงวัย

สำหรับตลาดหุ้นไทย 7 เดือนที่ผ่านมา มีความผันผวนและให้ผลตอบแทนติดลบและต่ำกว่าผลตอบแทนดัชนีตลาดหุ้นสำคัญๆ ทั่วโลก เป็นผลจากความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เกิดขึ้น รวมถึงการประมาณการเศรษฐกิจไทยที่เติบโตน้อยกว่าคาด เป็นผลจากภาคการผลิตและภาคส่งออกของไทยถูกกดดันจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวน้อยกว่าที่คาด ประกอบกับทิศทางดอกเบี้ยโลกที่ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมาทำให้มีเงินไหลออกจากตลาดหุ้นไทย

หากพิจารณาปัจจัยต่างประเทศวัฏจักรดอกเบี้ยขาขึ้นใกล้สิ้นสุด ขณะที่ความเสี่ยงของเศรษฐกิจหดตัวรุนแรงยังมีโอกาสค่อนข้างน้อย ปัจจัยเชิงบวกภายในประเทศไทยจะเป็นตัวเลขเศรษฐกิจในภาพรวมคาดว่าจะค่อยๆ ดีขึ้นจากการส่งออกและการท่องเที่ยวที่เข้าสู่ High season ในไตรมาส 4 รวมถึงภาพการเมืองที่ชัดเจนขึ้นจะทำให้แนวโน้มตลาดไทยผันผวนลดลง โดยเฉพาะเมื่อสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้

ทั้งนี้ คาดว่าการชุมนุมประท้วงจะไม่รุนแรงเท่าในอดีตที่ผ่านมา และเมื่อมีแนวทางในการดำเนินนโยบายทางเศรษฐกิจและการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ จะมีส่วนช่วยสนับสนุนบรรยากาศการลงทุนโดยรวมได้ แต่ตลาดหุ้นไทยยังมีความเสี่ยงบ้างจากผลกระทบของการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของไทยที่ผ่านมา ซึ่งจะเพิ่มต้นทุนการกู้ยืมของภาคเอกชนและภาระดอกเบี้ยให้ภาคครัวเรือนที่มีภาระหนี้อยู่ในระดับสูง ประกอบกับแนวโน้มของการเกิดภัยแล้งอาจจะส่งผลกระทบต่อภาคการเกษตรและการบริโภคได้ด้วย

มองเป้าดัชนี SET ปีนี้ 1,640 จุด-ปีหน้ามีลุ้น 1,770 จุด

บลจ. กรุงไทย คาดการณ์อัตราการเติบโตของกำไรประมาณ 10-12% มีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ที่ระดับ 3.2-3.4% เป็นระดับที่ Valuation ไม่แพงนัก ซึ่งปัจจุบัน P/E อยู่ที่ประมาณ 15-16 เท่า โดยประเมิน SET Target ที่ 1,640 จุด ณ สิ้นปี 2566 และปี 2567 อยู่ที่ 1,750-1,770 จุด

“ดัชนีหุ้นไทยแถว 1,500 จุด ถือว่ามีดาวน์ไซด์ต่ำ อัพไซด์เปิดจึงน่าสนใจ ถ้าการเมืองนิ่งขึ้น ต่างชาติจะเข้ามาก็ต้องดูว่าผลตอบรับความวุ่นวายหรือเหตุการณ์หลงการจัดตั้งรัฐบาลเป็นอย่างไร คงต้องรอดูสัก 1 เดือน เหตุการณ์นิ่งหรือไม่”นางชวินดา กล่าว

อย่างไรก็ตามบลจ.กรุงไทยมองตลาดหุ้นไทยสะท้อนความกลัวและความกังวลของนักลงทุนในประเด็นความเสี่ยงจากการเมือง และการปรับประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนไปพอประมาณแล้ว ขณะที่สัดส่วนการถือครองหุ้นของนักลงทุนต่างชาติอยู่ในระดับต่ำจากการขายออกต่อเนื่องในปีนี้ และคาดการณ์แนวโน้มค่าเงินบาทที่น่าจะกลับมาแข็งค่าจากปัจจัยเศรษฐกิจที่น่าจะดีขึ้น คาดว่าจะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนต่างชาติให้กลับเข้าตลาดตราสารทุนไทยได้

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในช่วงที่เหลือของปี จะพิจารณาเลือกสรรหุ้นและอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ หุ้นที่เกี่ยวกับการบริโภค และภาคบริการภายในประเทศ หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการออกมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ รวมถึงหุ้นที่ได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจโลกประคองตัวได้ (ไม่เป็น Recession รุนแรง) และหุ้นที่ผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง

คัดกองทุนเด่นเสิร์ฟ

สำหรับการลงทุนในหุ้นต่างประเทศให้ผลตอบแทนที่ค่อนข้างดีในปีนี้ จากทั้งเศรษฐกิจที่ไม่ได้เกิดภาวะถดถอยดังที่นักวิเคราะห์กังวลก่อนหน้านี้ เศรษฐกิจมีความทนทานต่อดอกเบี้ยสูงได้ดีกว่าที่หลายฝ่ายคาด นักวิเคราะห์มีการทยอยปรับประมาณการกำไรของบริษัทเพิ่มขึ้น รวมถึงเงินเฟ้อที่สูงก็ส่งผลดีต่อตัวเลขรายได้และกำไรของบริษัทจดทะเบียน กระแสการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ (AI) ก็ส่งผลดีต่อกลุ่มเทคโนโลยีค่อนข้างมากด้วยเช่นกัน โดยกองทุนที่ลงทุนเป็นธีมแนะนำ ได้แก่ กองทุนเปิดเคแทม Global Sustainable Growth Equity (KT-GESG) และกองทุนเปิดเคแทม เวิลด์ เฮลธ์แคร์ ฟันด์ (KT-HEALTHCARE)

ขณะที่กองทุนหุ้นต่างประเทศ แนะนำ กองทุนเปิดเคแทม เวียดนาม อิควิตี้ ( KT-VIETNAM-A) ส่วนกองทุนหุ้นไทย แนะนำ กองทุนเปิดกรุงไทย บุญตรง ธรรมาภิบาลไทย (KTBTHAICG-A) และกองทุนตราสารหนี้ที่แนะนำ ได้แก่ กองทุนเปิดกรุงไทยตราสารหนี้พลัส (KTFLIXPLUS)

ทั้งนี้ บลจ.กรุงไทย ประเมินภาพการลงทุนมีแนวโน้มดีขึ้นแต่ตลาดหุ้นยังคงมีความผันผวนสูง ดังนั้น การเลือกลงทุน (Selection) จึงมีความสำคัญมากขึ้น โดยเลือกการลงทุนเป็นประเทศๆ จะไม่เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกันทั้งโลก จากการที่ประเทศที่พัฒนาแล้วมีอัตราเงินเฟ้อในระดับสูงกว่าในประเทศเกิดใหม่หลายประเทศ ซึ่งมีอัตราเงินเฟ้อต่ำและสามารถดำเนินนโยบายดอกเบี้ยต่ำได้ ซึ่งน่าจะเป็นผลดีต่อตลาดหุ้นในครึ่งหลังของปี โดยหลังจากที่ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นมาพอสมควร ทำให้บางตลาดเริ่มมี Valuation ที่ “แพง” นักลงทุนจึงอาจต้องเน้นในกลุ่มประเทศ/อุตสาหกรรมที่มีความสามารถในการเติบโตที่มีคุณภาพในระยะยาว รวมถึงการลงทุนในตราสารหนี้ที่มีคุณภาพดีและมีอายุเฉลี่ยที่ยาวขึ้น

สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาได้ อาจเลือกลงทุนหุ้นในสัดส่วนที่สูงกว่าตราสารหนี้ เนื่องจากตลาดตราสารหนี้ อัตราดอกเบี้ยอาจจะใกล้ถึงจุดสูงสุดแล้วและน่าจะมีทิศทางอ่อนตัวลง ซึ่งอาจเหมาะกับการลงทุนสำหรับนักลงทุนที่รับความผันผวนสูงไม่ได้ ดังนั้นนักลงทุนที่รับความผันผวนได้มากควรลงทุนหุ้นประมาณ 70% และลงทุนตราสารหนี้เพียง 30% ในทางกลับกัน หากรับความผันผวนได้ต่ำควรลงทุนหุ้น 30% และตราสารหนี้ถึง 70% สำหรับรับความเสี่ยงได้ระดับปานกลางแนะนำหุ้น 55% ตราสารหนี้ 45%

เล็งออกกองทุน Structure Product – RMF ลงทุนนอก

ในส่วนของการนำเสนอผลิตภัณฑ์กองทุนนั้น บริษัทได้พยายามเฟ้นหาโอกาสการลงทุนจากผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายมากขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของนักลงทุน และเพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน บริษัทมีแผนจะนำเสนอกองทุนประเภท Structure Product มากขึ้น ซึ่งเป็นการลงทุนที่เน้นความปลอดภัยของเงินลงทุน และอ้างอิงกับผลตอบกับดัชนีต่างๆ ตามสภาวะตลาด เพื่อเปิดรับโอกาสที่จะสามารถหาผลตอบแทนได้ทั้งจากในช่วงที่ตลาดปรับขึ้นและปรับลงได้ รวมถึงจะทยอยเปิดกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) เป็นทางเลือกที่หลายหลายให้นักลงทุนยิ่งขึ้น โดยจะเน้นรายประเทศ หรือกลุ่มประเทศที่น่าสนใจ และมีโอกาสสร้างการเติบโตในระยะยาว อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงยึดหลักการบริหารจัดการอย่างรอบคอบระมัดระวัง ภายใต้กระบวนการการกำกับดูแลที่ดีโดยคำนึงถึงประโยชน์ของนักลงทุนเป็นสำคัญอยู่เสมอ

นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการนำเสนอข้อมูลข่าวสารต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจลงทุนให้กับนักลงทุน ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ให้มีความหลากหลายถึง 11 ช่องทาง ได้แก่ Facebook, YouTube, Line, TikTok, Instagram, Twitter, Threads, Blockdit, Clubhouse, PodBean, และ Spotify เพื่อให้นักลงทุนสามารถเข้าถึงข้อมูลผลิตภัณฑ์และบทวิเคราะห์ต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดายและรวดเร็วตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้ บริษัทฯ มีฐานลูกค้าในทุกดิจิทัลแพลตฟอร์มรวม PVD online และ Krungthai NEXT กว่า 1.53 ล้านราย (ข้อมูล ณ 31 ก.ค. 2566)

นอกจากนี้ บริษัทยังคงผลักดันให้มีการนำเทคโนโลยีมาเพิ่มประสิทธิภาพในการลงทุนและการบริการให้กับนักลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งพัฒนาแอปพลิเคชั่น KTAM Smart Trade เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุน โดยล่าสุดได้เพิ่มบริการหักเงินค่าซื้อกองทุนเพื่ออำนวยความสะดวกนักลงทุนที่ใช้บริการธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ ปัจจุบันบริษัทฯ มีนักลงทุนที่ใช้บริการผ่าน KTAM Smart Trade แล้วกว่า 44,000 บัญชี

บลจ.กรุงไทย มีมูลค่าสินทรัพย์ทั้งหมด (AUM) ภายใต้การจัดการของบริษัทอยู่ที่ 789,261 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนตลาดที่ 9.2% เติบโต 3.3% YoY แบ่งเป็น กลุ่มธุรกิจกองทุนรวม (Mutual Fund) อยู่ที่ 571,197 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนตลาดที่ 11.5% เติบโต 1.6 % YoY, กลุ่มธุรกิจกองทุนส่วนบุคคล (Private Fund) อยู่ที่ 59,715 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนตลาดที่ 2.7% เติบโต 32.1% YoY และกลุ่มธุรกิจกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (Provident Fund) อยู่ที่ 158,349 ล้านบาท คิดเป็น 11.4% เติบโต 1.2% YoY (ข้อมูล : AIMC ณ 30 มิ.ย. 2566)