ดาวโจนส์ปิดลบ 158 จุด “มูดี้ส์” ลดเรทติ้งแบงก์

HoonSmart.com>> ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดร่วง ดัชนีดาวโจนส์ลดลง 158 จุด -0.45% , S&P500 -0.42% , Nasdaq -0.79% นักลงทุนเทขายหุ้นหลัง “มูดี้ส์” ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือธนาคาร 10 แห่ง และข้อมูลการค้าที่อ่อนแอของจีน ราคาน้ำมันดิบ WTI เพิ่มขึ้น 98 เซนต์ ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดลบ

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) ปิดวันที่ 8 สิงหาคม 2566 ที่ 35,314.49 จุด ลดลง 158.64 จุด หรือ 0.45% จากแรงเทขายหลังมูดี้ส์ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือธนาคาร 10 แห่ง และจากข้อมูลการค้าที่อ่อนแอของจีน

ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,499.38 จุด ลดลง 19.06 จุด, -0.42%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,884.32 จุด ลดลง 110.07 จุด, -0.79%

อย่างไรก็ตามทั้งสามดัชนี ฟื้นตัวจากระดับต่้ำสุด แต่ก็ไม่สามารถขยับมาปิดที่แดนบวก

กลุ่มธนาคารพากันปรับตัวดลงหลังมูดี้ส์ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือธนาคารภูมิภาค 10 แห่ง ทั้งขนาดเล็กและขนาดกลาง โดยชี้ว่ามีความเสี่ยงด้านเงินฝาก รวมทั้งอาจจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย และการปล่อยกู้ภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่ตอกย้ำว่ายังมีแรงกดดันต่อภาคธนาคารหลังเกิดวิกฤติธนาคารในช่วงต้นปี

นอกจากยังประกาศทบทวนอันดับความน่าเชื่อถือของธนาคารขนาดใหญ่ โดยที่ 6 ธนาคารมีแนวโน้มถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ ซึ่งรวมถึงแบงก์ ออฟ นิวยอร์ก เมลลอน ยูเอส แบงคอร์ป สเตท สตรีท

การปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของมดี้ส์ทำให้นักลงทุนกังวลต่อเสถียรภาพกลุ่มธนาคาร และแนวโน้มเศรษฐกิจ

หุ้นโกลด์แมน แซคส์ลดลง 2.1% หุ้นเจพี มอร์แกน เชสและหุ้นซิตี้กรุ๊ปต่างลดลงกว่า 1%

ขณะที่ดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคาร ลดลง 2.5% และดัชนีหุ้นกลุ่มธนาคารภูมิภาค ลดลง 1.4%

เจย์ แฮทฟิลด์ ซีอีโอของ Infrastructure Capital Advisors กล่าวว่า การลดอันดับความน่าเชื่อถือของระบบธนาคารภูมิภาค มีผลกระทบอย่างมากต่อความเชื่อมั่นของตลาด

นอกจากนี้ความเชื่อมั่นของตลาดก็ได้รับผลกระทบจากข้อมูลการนำเข้าและส่งออกของจีนที่ลดลงในเดือนกรกฎาคมและแย่กว่าที่คาดไว้มาก อุปสงค์อ่อนแอ ทำให้โอกาสในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจลดน้อยลง โดยการนำเข้าลดลง 12.4% จากระยะเดียวกันของปีก่อน มากกว่าที่ 5% ที่นักวิเคราะห์คาด ส่วนการส่งออกหดตัว 14.5% มากกว่า 12.5% ที่นักวิเคราะห์คาด

ในขณะเดียวกันกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ รายงานการขาดดุลการค้าภาคสินค้าและบริการเดือนมิถุนายนของสหรัฐว่า มีจำนวน 65.5 พันล้านดอลลาร์ลดลง 4.1% แต่สูงกว่า 65.0 พันล้านดอลลาร์ที่นักวิเคราะห์คาด การนำเข้าลดลง 1.0%มูลค่ารวม 313.0 พันล้านดอลลาร์ การส่งออกลดลง 0.1% มูลค่ารวม 247.5 พันล้านดอลลาร์

นอกจากยังมีการทะยอยรายงานผลการดำเนินงาน โดย ยูพีเอส ธุรกิจบริการขนส่งสินค้าและโลจิสติกส์รายระดับโลกลดลง 0.9% แจ้งรายได้ไตรมาสสองต่ำกว่าคาด และปรับลดคาดการณ์ทั้งปีลง ซึ่งเป็นสัญญานเศรษฐกิจที่ไม่สดใส

นักลงทุนยังจับตาการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของ ทั้งสหรัฐและจีน โดยจีนกำหนดรายงานเงินเฟ้อเดือนกรกฎาคมในวันนี้ และสหรัฐจะเผยแพร่ในวันพฤหัสบดี

ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ จากการปรับลดลงของกลุ่มธนาคารในอิตาลี เงินเฟ้อเยอรมนี และข้อมูลการค้าของจีนทีแย่กว่าคาด

ดัชนีกลุ่มธนาคารยูโรโซนลดลง 3.54% เป็นการลดลงในวันเดียวที่มากสุดนับตั้งแต่วิกฤติธนาคารสหรัฐเดือนมีนาคม

หุ้นกลุ่มธนาคารของอิตาลีร่วง หลังคณะรัฐมนตรีอนุมัติเก็บภาษีจากกำไรพิเศษ(windfall tax) ในอัตรา 40% จากธนาคารพาณิชย์ในปีนี้ ทำให้วิตกว่าประเทศอื่นอาจจะเก็บภาษีจากกำไรพิเศษเช่นเดียวกัน โดยหุ้น Intesa Sanpaolo และ หุ้น UniCredit ต่างลดลงกว่า 6%

เยอรมนีรายงานเงินเฟ้อเดือนกรกฎาคมชะลอตัวลงมาที่ 6.2% ซึ่งอาจจะทำให้ธนาคารกลางสหภาพยุโรประงับการปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมครั้งหน้าเดือนกันยายน

ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากข้อมูลการที่แย่กว่าคาดของจีน ทำให้กังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก

หุ้นกลุ่มเหมืองแร่ลดลง 1.8%

ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 458.60 จุด ลดลง 1.08 จุด, -0.23%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,527.42 จุด ลดลง 27.07 จุด, -0.36%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,269.47 จุด ลดลง 50.29 จุด, -0.69%,
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 15,774.93 จุด ลดลง 175.83 จุด, -1.10%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนกันยายนเพิ่มขึ้น 98 เซนต์ หรือ 1.2% ปิดที่ 82.92 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนตุลาคมเพิ่มขึ้น 83 เซนต์ หรือ 1% ปิดที่ 86.17 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล