JTS กำไร Q2/66 วูบ 76% บุ๊กขาดทุนด้อยค่าอาคาร อุปกรณ์ขุดบิทคอยน์

HoonSmart.com>> “จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น” (JTS) เปิดงบไตรมาส 2/66 กำไรสุทธิ 8.12 ล้านบาท วูบ 76% จากงวดปีก่อน แต่ดีขึ้นจากไตรมาสแรก บุ๊กขาดทุนยังไม่เกิดขึ้นจากการด้อยค่าของอาคารและอุปกรณ์ที่ใช้ทำธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์กว่า 55.87 ล้านบาท บอร์ดอนุมัติปรับโครงสร้างธุรกิจด้วยการซื้อ-ขายสินทรัพย์ที่ใช้ทำธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์และบิทคอยน์ที่ขุดได้ทั้งหมดจาก JasTel มายังบริษัทฯ เพื่อให้เกิดความคล่องตัว เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารจัดการธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์

บริษัท จัสมิน เทคโนโลยี โซลูชั่น (JTS) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2566 กำไรสุทธิ 8.12 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.012 บาท ลดลง 76.13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 34.73 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.049 บาท แต่เพิ่มขึ้น 9.89 ล้านบาท หรือ 625% จากไตรมาส 1 ปี 2566

ส่วนงวด 6 เดือนปี 2566 กำไรสุทธิ 6.47 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.009 บาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 130.93 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.185 บาท

บริษัทฯ และบริษัทย่อยมีรายได้รวมจากการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2566 จํานวน 589.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 52.42 ล้านบาท คิดเป็น 9.77% เมื่อเทียบไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 13.37 ล้านบาท คิดเป็น 2.32% จากไตรมาส 1 ปี 2566 โดยมีรายได้ธุรกิจให้บริการโครงข่ายโทรคมนาคม 513.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60.61 ล้านบาท คิดเป็น 13.40% โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นมาจากการให้บริการวงจรเช่าในประเทศ 16.73 ล้านบาท ค่าบริการวงจรเช่าส่วนบุคคลระหว่างประเทศ 48.80 ล้านบาท ซึ่งใช้บริการโดยบริษัทผู้ให้บริการโทรคมนาคมในประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย และเวียดนาม แต่ค่าขายและติดตั้งอุปกรณ์ลดลง 4.92 ล้านบาท

รายได้จากธุรกิจออกแบบ และวางระบบสื่อสารและโทรคมนาคม จํานวน 19.06 ล้านบาท ลดลง 3.93 ล้านบาท คิดเป็น 17.09% รายได้จากธุรกิจจัดหา ออกแบบและวางระบบคอมพิวเตอร์ 17.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.28 ล้านบาท คิดเป็น 7.78%

นอกจากนี้มีกําไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 9.93 ล้านบาท ลดลง 10.94 ล้านบาทคิดเป็น 52.42% และรายได้อื่น จํานวน 0.48 ล้านบาท ลดลง 0.08 ล้านบาท คิดเป็น 14.29%

ขณะที่กําไรจากการดําเนินงานก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจําหน่าย (EBITDA) สําหรับไตรมาสที่ 2 ปี 2566 จํานวน 178.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.48 ล้านบาท คิดเป็น 8.15% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน กรณีไม่รวมขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจากการด้อยค่าของอาคารและอุปกรณ์ที่ใช้ในการดําเนินธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์ บริษัทฯ จะมีกําไรสุทธิ 64.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.37 ล้านบาท คิดเป็น 84.37% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน

ต้นทุนขายและบริการมีจํานวน 375.21 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11.20 ล้านบาท คิดเป็น 3.08% โดยมีต้นทุนเหมืองขุดบิทคอยน์ 127.25 ล้านบาท ประกอบด้วย ต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการขุดบิทคอยน์ 71.38 ล้านบาท คิดเป็น 56.09% และขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจากการด้อยค่าของอาคารและอุปกรณ์ที่ใช้ในการดําเนินการธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์ 55.87 ล้านบาท คิดเป็น 43.91% ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 52.47 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.87 ล้านบาท คิดเป็น 32.50% เนื่องจากค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากค่าใช้จ่ายพนักงาน 8.65 ล้านบาท จากการเพิ่มจํานวนพนักงาน ค่าที่ปรึกษาอื่นๆ 1.69 ล้านบาท ค่าเช่าและค่าบริการสํานักงาน จํานวน 0.76 ล้านบาท ค่าธรรมเนียมธนาคาร 0.97 ล้านบาท ผลขาดทุนทางด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากลูกหนี้ (ค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ) จํานวน 0.86 ล้านบาท ตามมาตรฐานการายงานทางการเงินฉบับที่ 9

ค่าเผื่อการด้อยค่า(กลับรายการ)ของสินทรัพย์สกุลดิจิทัล ในไตรมาสที่ 2 ปี2566 ไม่มีการบันทึกการด้อยค่าสินทรัพย์ดิจิทัลที่ได้รับจากการขุด ตามมาตรฐานฉบับที่ 38 เรื่องสินทรัพย์ไม่มีตัวตน เนื่องจากมูลค่าทุนของสินทรัพย์ดิจิทัลที่ขุดได้และบันทึกบัญชีไปแล้วนั้น ตํ่ากว่ามูลค่ายุติธรรม (ราคาตลาด) ของเหรียญบิทคอยน์ โดยมูลค่าตลาด ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2566 เท่ากับ USD 30,477.25 ต่อเหรียญบิทคอยน์

ด้านคณะกรรมการบริษัทฯ ประชุมเมื่อวันที่ 8 ส.ค.2566 มีมติอนุมัติการปรับโครงสร้างธุรกิจโดยวิธีการซื้อ-ขายสินทรัพย์ที่ใช้ในการดําเนินธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์และบิทคอยน์ที่ขุดได้ทั้งหมดจากบริษัท จัสเทล เน็ทเวิร์ค จํากัด (JasTel) มายังบริษัทฯ โดย JasTel เป็นบริษัทย่อยถือุหุ้น 100% ของบริษัทฯ ซึ่งคาดว่าจะดําเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนส.ค.2566 ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างธุรกิจดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความคล่องตัว และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์
บอร์ดอนุมัติ
การดําเนินการตามแผนธุรกิจของกลุ่มบริษัทเจทีเอส โดยบริษัทย่อยทั้ง 2 บริษัท ที่บริษัทฯ ถือหุ้นในสัดส่วน 100% มีความคืบหน้า ดังนี้ บริษัท จัสเทล เน็ทเวิร์ค (JasTel) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการโครงข่ายโทรคมนาคม และอินเทอร์เน็ตทั้งในและต่างประเทศ ภายหลังการลงนามข้อตกลงความร่วมมือกับบริษัท เทเลเฮ้าส์ (ประเทศไทย) จํากัด หนึ่งในผู้นําด้านการให้บริการดาต้าเซ็นเตอร์ระดับโลก ทาง JasTel ได้ดําเนินการขยายศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่อาคารจัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล ทาวเวอร์ เพื่อเสริมศักยภาพและความแข็งแกร่งในการเป็นผู้นําในตลาดศูนย์ข้อมูล และตอบสนองความต้องการของลูกค้าและการขยายตัวของภาคธุรกิจ

ขณะที่บริษัท คลาวด์ คอมพิวติ้ง โซลูชั่นส์ จํากัด (CCS) ได้ลงนามข้อตกลงกับ Tencent Cloud ในความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ที่มุ่งขยายและยกระดับการให้บริการคลาวด์ด้วยนวัตกรรมใหม่ เพื่อผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างหลากหลายและมีประสิทธิภาพในยุคดิจิทัล

สําหรับธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์ ราคาบิทคอยน์ถัวเฉลี่ยเพิ่มสูงขึ้นโดยราคาถัวเฉลี่ยบิทคอยน์ของเดือนมิ.ย. เท่ากับ 27,582.03 ดอลลาร์สหรัฐ และราคาถัวเฉลี่ยบิทคอยน์ของเดือนก.ค. เท่ากับ 29,975.43 ดอลลาร์สหรัฐ ประกอบกับการเกิดเหตุการณ์ Halving ของ Bitcoin (BTC) ในเดือนเม.ย.2567 ซึ่งจะทําให้บิทคอยน์ที่ขุดได้ลดลง 50% เมื่ออุปทาน (Supply) ลดลง ย่อมเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทําให้ราคาบิทคอยน์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมาก ถึงแม้นว่าค่ากระแสไฟฟ้าผันแปร (Ft) จะเพิ่มสูงที่สุดในช่วงเดือน ม.ค.-เม.ย.2566 แต่ภาครัฐได้มีการปรับลดค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) โดยในงวดเดือนพ.ค.-ส.ค.2566 ค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) เท่ากับ 91.19 สตางค์ต่อหน่วย (ปรับลดลง 63.73 สตางค์) และงวดเดือนก.ย.-ธ.ค.2566 ค่าไฟฟ้าผันแปร (Ft) เท่ากับ 66.89 สตางค์ต่อหน่วย (ปรับลดลง 24.30 สตางค์) ทําให้ต้นทุนในการทําธุรกิจเหมืองขุดบิทคอยน์ลดตํ่าลง

ทั้งนี้ ทางบริษัทฯ ยังคงเร่งเจรจากับพันธมิตรในต่างประเทศโดยเร็วที่สุด เพื่อดําเนินการย้ายเครื่องขุดบิทคอยน์ไปยังสถานที่ซึ่งมีศักยภาพและจุดเด่นด้านทรัพยากรต่างๆ โดยเฉพาะด้านต้นทุนค่าไฟฟ้าที่ตํ่ากว่าหากเทียบกับประเทศไทย และต้องบริหารจัดการความเสี่ยงของการเข้าถึงเครื่องขุดบิทคอยน์ได้อย่างมีปร