HoonSmart.com>> ต่างชาติไล่ซื้อหุ้นไทยเพื่อ Cover short ราคาเท่าไรก็ต้องรีบช้อน ขนเงินลุยเก็บ 2 วันรวม 18,241 ล้านบาท แต่วันศุกร์ขาย TFEX -37,982 สัญญา หุ้นแบงก์วิ่งแรง เทียบ P/BV แบงก์กรุงเทพต่ำกว่า KBANK-SCB วอลุ่มทะลุ 1 แสนล้านบาทสูงสุดรอบ 19 เดือน เก็งกำไรบล. วันนี้ (9 ก.ย.) แถลงผลตอบแทนหน่วยลงทุนวายุภักษ์ เงินกว่า 1 แสนล้าน พร้อมลุยหุ้นใหญ่ บล.ฟิลลิปเล็งขยับเป้าจากคาด 1,420-1,450 บลจ.อเบอร์ดีนฯอัพเป้า 1,500 บล.กรุงศรีให้ 1,540 จุด
นักลงทุนต่างชาติ ซื้อหนักๆ 2 วันติดต่อกัน (5-6 ก.ย.2567) รวม 18,241.22 ล้านบาท แต่เมื่อวันศุกร์ที่ 6 ก.ย. กลับขายสัญญาอนุพันธ์มากถึง -37,982 สัญญา สาเหตุที่ต่างชาติพลักกลับมาไล่ซื้อหุ้น เพื่อ Cover short ที่ขายออกไปมากกว่า -109,252.32 ล้านบาทในปีนี้ ถึง 6 ก.ย.2567 ไม่รวมปี 2566 ขายมากกว่า 192,083 ล้านบาท จึงกลับมาไล่ซื้อผ่านบล. KKP ,JPM รวม 2 วัน 3,692 ล้านบาท และ CLSA 3,207 ล้านบาท แลกหมัดนักลงทุนไทย ขายทำกำไร ผ่านบล.คิงส์ ฟอร์ด และบล.เคจีไอ
ภาวะตลาดที่คึกคัก มีมูลค่าซื้อขายทะลุ 1 แสนล้านบาทเมื่อวันที่ 6 ก.ย.ที่ผ่านมา นับว่า สูงที่สุดในรอบ 1 ปี 7 เดือน ฝีมือต่างชาติพุ่งเป้าซื้อหุ้นใหญ่ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ เพราะราคาหุ้นถูกเทียบกับมูลค่าหุ้นทางบัญชี (P/BV) โดย BBL และ BAY อยู่ที่ 0.53 เท่า ต่ำกว่า KBANK ที่ 0.66 เท่าและ SCB 0.81 เท่า
นอกจากนี้มีแรงเก็งกำไรหุ้นบริษัทหลักทรัพย์ เช่น ASP และ KGI ที่มี P/E มากกว่า 1 เท่า ส่วน BYD อยู่ที่ 0.48 เท่า แต่เทรดที่ P/E สูงถึง 35.68 เท่า แต่ยังน่าสนใจเพราะธุรกิจเข้าสู่โหมดเติบโต ล่าสุดไตรมาส 2/2567 พลิกมีกำไรสุทธิ 30.77 ล้านบาท รายได้กระจายจากธุรกิจหลักทรัพย์ที่มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น รายได้ดอกเบี้ย ค่าธรรมเนียม และธุรกิจไทยสมายล์บัส เริ่มดีขึ้น
ตลาดหุ้นไทยที่ดีขึ้นสวนทางต่างประเทศที่ปรับตัวลงแรงมาจากปัจจัยในประเทศ เช่น การเมืองมีเสถียรภาพ รัฐบาลเตรียมแถลงนโยบายต่อสภา และกองทุนรวมวายุภักษ์หนึ่ง คาดเปิดขายหน่วยลงทุนประเภท ก. ประมาณ วันที่ 16-20 ก.ย.นี้ และวันที่ 9 ก.ย. จะมีแถลงข่าวเรื่องอัตราผลตอบแทน และรายละเอียดการเสนอขาย พร้อมเปิดให้ผู้ลงทุนทั่วไปจองซื้อ เพิ่มทางเลือกการออมและการลงทุน ซึ่งจะมีเม็ดเงินมากกว่า 1 แสนล้านบาทเข้ามาซื้อหุ้นขนาดใหญ่ ขณะที่ตลาดหุ้นต่างประเทศ เจอความกังวลเรื่องเศรษฐกิจสหรัฐถดถอยกดราคาสินทรัพย์ทั่วโลก
น.ส.ชุติกาญจน์ สันติเมธวิรุฬ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า เมื่อวันศุกร์ที่ 6 ก.ย.ที่ผ่านมา หุ้นปรับตัวขึ้นดีอย่างต่อเนื่อง ได้แรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่ (บิ๊กแคป) นำโดยหุ้นกลุ่มธนาคาร และกลุ่มค้าปลีก ตอบรับคณะรัฐมนตรีใหม่ ที่มีความคืบหน้าเร็ว เตรียมจะแถลงนโยบายในสัปดาห์นี้ รวมถึงการผ่านร่างงบประมาณปี 2568 สร้างความคาดหวังการฟื้นตัวเศรษฐกิจแนวโน้มตลาด ไปต่อได้ จาก Fund Flow ที่เข้ามาหลังการเมืองนิ่ง
นอกจากนี้ กองทุนวายุภักษ์ก็มาช่วยหนุนตลาด จาก Timeline ที่ชัดว่าจะมีการลงทุนในเดือนต.ค.นี้ ซึ่งผลักดันให้หุ้นขนาดใหญ่ ตามด้วยหุ้นขนาดกลาง และ Domestic plays ยังเล่นกันต่อไปได้ อย่างไรก็ตามความกังวลปัจจัยลบต่างประเทศ อาจทำให้ตลาดมีโอกาสพักตัวสลับบ้าง
“ถ้า Fund Flow ยังไหลเข้า มีลุ้นที่ดัชนีฯจะขยับขึ้นไปต่อ แต่คงจะค่อย ๆ ขยับขึ้น มีแนวต้านที่ 1,450 จุด หากผ่านไปได้ก็จะมีด่านถัดไปที่ 1,480 จุด ตลาดตอนนี้ วิ่งบนความคาดหวัง และ Fund Flow ไหลเข้า ส่วนแนวรับให้ไว้ที่ 1,410 จุด”
น.ส.ชุติกาญจน์ กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยมองเป้าหมายดัชนี SET ปีนี้ไว้ในกรอบ 1,420-1,450 จุด คิด P/E 15.8-16 เท่า กำไรต่อหุ้น ( EPS) ไว้ที่ 90 บาท ก็มีโอกาสที่จะทบทวนประมาณอีกครั้ง โดยจะต้องรอดูกำไรของบริษัทจดทะเบียน หากเทรด P/E 17 เท่า ดัชนีฯก็อยู่ที่ 1,530 จุด ซึ่งปัจจุบันหากคิดดัชนีฯที่ 1,424 จุด ก็เทรด P/E ราว 15.8 เท่า
น.ส.จิตรา อมรธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บล.ฟินันเซียไซรัส กล่าวว่า มองเป้าหมายดัชนีหุ้นสิ้นปีนี้ที่ 1,470 จุด ประเมินบนกำไรบจ. 89-90 บาท หากดัชนีจะปรับตัวขึ้นสูงกว่า 1,470 จุด เพราะเหตุผลเงินไหลเข้ามากกว่า ส่วนเป้าหมายปี 2568 ดัชนี 1,500 จุด กำไรเกือบ 100 บาท P/E 15-15.5 เท่า
นางสาวดรุณรัตน์ ภิยโยดิลกชัย หัวหน้าฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดหุ้นช่วง 4 เดือนสุดท้ายของปีนี้ มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ต่อ หลังผ่านจุดต่ำสุดแล้ว จึงปรับเป้าหมายดัชนีสิ้นปี 2567 อยู่ที่ 1,500 จุด จากเดิมที่ 1,360-1,450 จุด คาด EPS อยู่ที่ 90 บาทต่อหุ้นและ P/E ประมาณ 15 เท่า มองแนวรับ 1,270 จุด หากเกิดเหตุการณ์ด้านลบหรือมีประเด็นที่อาจกระทบต่อความมั่นคงของรัฐบาลอีก
ปัจจัยสนับสนุนตลาดหุ้น ได้แก่ 1.นโยบายของรัฐบาล โครงการดิจิทัล วอลเล็ตค่อนข้างชัดเจนวงเงิน 1.5 แสนล้านบาท 2.เศรษฐกิจฟื้นคาดครึ่งปีหลังโตดีกว่าครึ่งแรก ทั้งปี โต 2.7% 3.กำไรบจ.เร่งตัว คาดปีนี้โต 10% ครึ่งแรกขยายตัว 5% 4.เม็ดเงินจากกองทุนวายุภักษ์ ประมาณ 1-1.5 แสนล้านบาท กองทุน ThaiESG Fund คาดเม็ดเงินลงทุนประมาณ 3-6 พันล้านบาท ส่วนแนวโน้มดอกเบี้ยของไทยใน 6 เดือนข้างหน้า คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับลดลง 0.50% มาอยู่ที่ 2% ปีนี้อย่างเร็วคาดว่าจะเห็นการลดดอกเบี้ยในเดือนธ.ค. มองเป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ คอนซูเมอร์ไฟแนนซ์
สำหรับมุมมองในช่วงที่เหลือของปีนี้กลุ่มหุ้นที่ยังเติบโตได้ดี ได้แก่ กลุ่มโรงพยาบาล กลุ่ม Domestic Link เช่น ค้าปลีกรายใหญ่ อย่าง CPALL, CPAXT และ Consumer Finance ส่วนกลุ่มท่องเที่ยวโดยรวมอาจจะดี แต่กลุ่มโรงแรมบางแห่งมีหนี้ต่างประเทศ โอกาสจะขาดทุนจากค่าเงิน จึงปรับลดน้ำหนักเป็น Neutral จากเดิม Overweight ยกเว้นว่ารัฐบาลจะมีมาตรการที่จูงใจให้นักท่องเที่ยวเข้ามาได้ดี
ด้านทีมผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน ธนาคารกรุงไทย (Krungthai Chief Investment Office) เปิดมุมมองการลงทุนของเดือนก.ย.2567 ปรับเพิ่มน้ำหนักตลาดหุ้นไทย มองว่าดัชนีได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว ได้รับแรงสนับสนุนทั้งจากปัจจัยภายใน และภายนอกประเทศ ยังมีเม็ดเงินจากกองทุนวายุภักษ์คอยหนุนตลาดอีกด้วย
บล.กรุงศรี ประเมินตลาดเดินหน้าเข้าสู่เป้าหมายสิ้นปีนี้ที่ 1,540 จุด แรงหนุนจากการเมืองชัด หนุนเศรษฐกิจปีนี้โต 2.4%ปีหน้าคาดโต 2.8-3.0% ได้แรงหนุนหลักคือเม็ดเงินใหม่กองทุนวายุภักษ์+ThaiESG ปลายปี ประมาณ 1.2-1.7 แสนล้านบาท กลยุทธ์เน้นลงทุนหุ้นได้ประโยชน์ 4 กลุ่ม
1. หุ้นที่กระทรวงการคลังเป็นผู้ถือหุ้น, อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และมีแนวโน้มเติบโตดีในช่วง2567-2568 ได้แก่ AOT, PTT, KTB
2. หุ้นที่อยู่ในกองทุนวายุภักษ์ 1 และซื้อขายในระดับ Valuation Zone รวมถึงมีแนวโน้มการเติบโตดี ได้แก่ CPALL, SCC, MINT, CRC, HMPRO, SCC
3. หุ้นที่มีน้ำหนักใน SETESG สูงและมีแนวโน้มการเติบโตดี อยู่ในธีมดาต้าเซ็นเตอร์ ได้แก่ ADVANC, GULF
4. หุ้นได้ประโยชน์กองทุนวายุภักษ์ ผลตอบแทนปันผลปีนี้ถึงปีหน้าสูง >5% และอยู่ใน ThaiESG KBANK, BBL, HMPRO, INTUCH