KCG ชู 5กลยุทธ์เพิ่มกำไรสุทธิ หนุนรายได้โตสองหลักทุกปี

HoonSmart.com>>‘เคซีจี คอร์ปอเรชั่น’ (KCG) สอบผ่านหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วันแรก 3 ส.ค. มั่นใจรายได้เติบโตสองหลักทุกปี และอัตรากำไรสุทธิดีขึ้น ลั่นเดินหน้ากลยุทธ์ เพิ่มสินค้าใหม่ทุกปี 10-15 ตัว ปรับขนาดผลิตภัณฑ์ วางขายสินค้าในจุดที่เหมาะสม เพิ่มตลาดต่างประเทศจาก 4.5% เป็น 7% ใน 3 ปี จับมือลูกค้าพัฒนาสินค้าสูตรเหมือนเดิมเปลี่ยนวัตถุดิบใหม่ WIIN WIN ทั้งสองฝ่ายไม่ต้องปรับราคาขาย คาดสิ้นปีนี้รายได้อยู่ที่ 7,000 ล้านบาท ใช้เงิน IPO จ่ายหนี้ระยะยาว ลดดอกเบี้ยจ่าย  ขยายการลงทุน

บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น(KCG) เข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันแรก 3 ส.ค.2566 โดยราคาเปิดที่ 8.55 บาท เพิ่มขึ้น 0.59%  และปิดที่ 8.45 บาท -0.05 หรือ -0.59% มูลค่าซื้อขาย 1,142.73  ล้านบาท  จากราคาขาย IPO ที่ 8.50 บาท ระหว่างวันราคาดีดขึ้นไปสูงสุดที่ 8.90 บาท และปรับตัวลงต่ำสุดที่ 7.95 บาท ท่ามกลางดัชนีปรับตัวลง 10.34 จุดหรือ -0.67% ปิดที่ระดับ 1,539.94 จุด  มูลค่าการซื้อขาย 23,416.18 ล้านบาท สำหรับครึ่งวันเช้า

นายวาทิต ตมะวิโมกษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น (KCG) ผู้นำธุรกิจผลิต จัดจำหน่าย และนำเข้าเนย ชีส และผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคชั้นนำจากทั่วโลก กล่าวว่า บริษัทยังคงมั่นใจที่จะทำให้รายได้เติบโตสองหลักทุกปี คาดว่าปีนี้จะจบที่รายได้ 7,000 ล้านบาท และเพิ่มอัตรากำไรสุทธิ โดยเดินหน้ากลยุทธ์ ในการออกสินค้าใหม่ปีละ 10-15 ตัว รองรับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย ปรับขนาดของผลิตภัณฑ์ วางขายสินค้าในจุดที่เหมาะสม พร้อมเพิ่มสัดส่วนตลาดต่างประเทศที่ส่งออกไปขายทั้งหมด 17 ประเทศ ปัจจุบันอยู่ที่ 4.5% เพิ่มเป็น 7.0%ในช่วง 3 ปีข้างหน้า พร้อมร่วมมือกับลูกค้าที่มีโรงงานผลิตอาหารในการพัฒนาสินค้าให้สูตรเหมือนเดิม แต่เปลี่ยนวัตุดิบที่มีราคาลดลง ทำให้ไม่ต้องปรับราคาขายสินค้า เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารต้นทุน รวมถึงการนำเงิน IPO ไปใช้ชำระหนี้ระยะยาว จากปัจจุบันที่มีภาระดอกเบี้ยเฉลี่ย 4% ต่อปี ทำให้อัตรากำไรสุทธิดีขึ้น

” เราจะต้อง WIN WIN กับลูกค้า พัฒนาสูตรร่วมกันท่ามกลางราคาวัตถุดิบสูงขึ้น  เพื่อเติบโตไปด้วยกัน นอกจากนี้บริษัทยังมีการพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า  เราเป็นผู้นำธุรกิจชีล ที่นำเข้าทั้งก้อนจากต่างประเทศ มีการใส่สวนผสม ให้ลูกค้าในภูมิภาคนี้ถูกใจ อาทิ อินโดนีเซียมีความต้องการซื้อชีลสูงมาก  ตามด้วยอินเดียและจีน นอกจากนี้เรายังมีการขายวัตถุดิบ เนื้อสัตว์ และอาหารทะเล เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าในจุดเดียว  รวมถึงการพัฒนาไม่ไม่หยุดยั่ง มีการศึกษาการนำเมล็ดกัญชงมาเพิ่มคุณค่าด้วย ซึ่งมีโอเมก้า  3 6 9″นายวาทิตกล่าว

ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น กล่าวอย่างมั่นใจถึงศักยภาพของบริษัทฯ ที่วางรากฐานอย่างแข็งแกร่งมาอย่างยาวนาน จะช่วยสนับสนุนให้ KCG เป็นหุ้นที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน โดยมีเป้าหมายเพื่อก้าวสู่ผู้นำการผลิตและนำเข้าผลิตภัณฑ์เนย ชีส และผลิตภัณฑ์เพื่อการบริโภคชั้นนำจากทั่วโลก

บริษัทฯ วางแผนขยายการลงทุนในปี 2566-2567  เพิ่มกำลังการผลิตชีสจากเดิม 2,106 ตันต่อปีเพิ่มเป็น 4,212 ตันต่อปี ภายในปีนี้ และจะขยายกำลังการผลิตเนยที่โรงงานเทพารักษ์ จากจำนวน 18,596 ตันต่อปีเพิ่มเป็น 23,261 ตันต่อปี ภายในปี 2567 รวมถึงลงทุนเครื่องจักรใหม่และปรับพื้นที่สร้างห้องปลอดเชื้อที่โรงงานบางพลี

นอกจากนี้ บริษัทฯ จะลงทุนก่อสร้างและพัฒนาศูนย์กระจายสินค้าและคลังสินค้าที่มีความทันสมัยและครบวงจร (KCG Logistics Park) โดยเป็นศูนย์กระจายสินค้าแบบแช่แข็ง และแบบอุณหภูมิห้อง  รวมถึงเพิ่มพื้นที่การจัดเก็บและบริหารจัดการสินค้าได้อย่างทันสมัยและมีประสิทธิภาพ โดยแบ่งตามชนิดผลิตภัณฑ์  เทียบเท่ามาตรฐาน GMP C และ GMP D ซึ่งเป็นมาตรฐานยุโรป รวมทั้งวางแผนการนำเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติ (Automation) มาพัฒนาโรงงานสู่การผลิตระบบอัตโนมัติอย่างเต็มรูปแบบในอนาคต คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงปี 2567

นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า KCG เป็นผู้นำการสร้างสรรค์สินค้าสู่ตลาด (Trend Setter) ซึ่งให้ความสำคัญกับการพัฒนาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ทั้งในกลุ่มเนยและชีส ที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ อีกทั้งยังเป็นอาหารทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพ สอดคล้องกับเทรนด์ของผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพและสอดรับการขยายตัวของร้านอาหารตะวันตก โดยเฉพาะร้านเบเกอรี่และคาเฟ่ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีฐานการผลิตที่แข็งแกร่ง และแผนการลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิต และนำเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตให้ดียิ่งขึ้น  เชื่อว่าด้วยการวางกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจอย่างแข็งแกร่ง จะช่วยผลักดันให้ KCG สร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต

“KCG เปิดไม่หวือหวา เชื่อว่าราคาจะค่อยๆขยับขึ้น มั่นใจในปัจจัยพื้นฐาน  และธุรกิจ  นำหุ้นเข้ามาซื้อขาย ท่ามกลาง IPO หลายตัวชะลอการเสนอขาย “นายพิเชษฐกล่าว