HoonSmart.com>>บล.บัวหลวง หั่นกำไรบจ.ปี’67 เหลือ 7.6% จากเดิม 12%-14% SET อยู่ที่ 1,396-1,400 จุด ผลจีดีพียังโตต่ำ หนี้ครัวเรือนสูงขาดกำลังซื้อหนุน ปรับพอร์ตครั้งใหญ่เพิ่มตราสาร 80% จากเดิม 20% แนะกระจายการลงทุนไปต่างประเทศ เน้นเวียดนาม ด้านตลาดไทยเข้ากลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม สนามบิน เฮลท์แคร์
นายชัยพร น้อมพิทักษ์เจริญ กรรมการผู้จัดการ สายงานค้าหลักทรัพย์ บล.บัวหลวง เปิดเผยว่า บริษัทฯมีการปรับประมาณการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียน ปี 2567 โต 7.6% จากเดิม 12%-14% และ SET จะอยู่ที่ 1,396-1,400 จุด จากเดิม 1,460 จุด โดยกลุ่มก่อสร้างและวัสดุก่อสร้าง กลุ่มปิโตรเคมี จะมีอัตรากำไรลดลงมากที่สุด โดยไตรมาส 2 การลงทุนภาคอสังหาริมทรัพย์ การลงทุนภาครัฐหายไปเลย
ขณะที่ มุมมองต่างชาติ มองตลาดหุ้นไทยในเชิงคุณภาพถือว่าสมเหตุสมผล ไม่ได้ถูกไม่ได้แพง และไทยมีข้อจำกัดด้านงบประมาณ การเมือง หนี้ครัวเรือน ดีตรงที่เห็นการจัดต้องกองทุนวายุภักษ์ ยังไม่มีปัจจัที่ทำให้ตื่นเต้นเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นประเทศเพื่อนบ้าน
นอกจากนี้ อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย หรือ จีดีพี ปีนี้ที่ 2.6%-2.7% เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านถือว่าโตช้า โดยกำลังซื้อภายในประเทศที่เป็นตัวขับเคลื่อนหลักคิดเป็น 2 ใน 3 ยังไม่ฟื้นตัว เพราะมีปัญหาหนี้สูง แม้รัฐบาลจะมีการส่งสัญญาณว่าจะเข้ามาซื้อหนี้แต่ยังไม่ชัดเจน และต้องใช้เวลา
“หุ้นไทยในช่วงนี้จะดูยังมีราคาถูก และซึมซึม มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่เข้ามา อย่างเงินดิจิทัลวอลเล็ตที่เรายังไม่ได้นำมารวมคำนวณดัชนีและกำไรของบริษัทจดทะเบียน เพราะต้องการให้เกิดจริงก่อน ก็จะช่วยฟื้นเศรษฐกิจได้เพียง 1 ปีครึ่ง หลังจากนั้นถ้าไม่มีมาตรใหม่ออกมาเศรษฐกิจ และหุ้นก็จะซึมๆ จนกว่าจะหา New S-Curve ใหม่ได้ ซึ่งที่ผ่านมาตลอด 10 ปีผลตอบแทนหุ้นไทยลดลงตลอด จะเห็นว่าคนที่ซื้อกองทุน LTF และถือมา 10 ปี ผลตอบแทนเป็นลบ”นายชัยพร กล่าว
นายชัยพร กล่าวว่า กองทุนวายุภักษ์จะดึงเม็ดเงินเข้ามาในตลาดหุ้นได้ไม่มากเหมือนกองทุน LTF และกำลังในการดันมาร์เก็ตแคปจะไม่มากเหมือนในอดีต เพราะมาร์เก็ตแคปไทยโตจากอดีตถึง 4 เท่าตัว เงินลงทุน 1-1.5 แสนล้านบาท อาจจะดันมาร์เก็ตแค็ปได้เพียง 0.6-1% เท่านั้นจากอดีตที่ดันได้ถึง 2.5-2.6%
สำหรับ 4 เดือนที่เหลือแนะนำหุ้นไทยในกลุ่มการท่องเที่ยว โรงแรม สนามบิน อาหาร คอมเมิร์ช เพราะเป็นช่วงเวลาที่ดีกำไรจะเข้าสู่ช่วงตกท้องช้าง และกลุ่มธุรกิจเฮลท์แคร์
ปีนี้ถือว่าเป็นการปรับพอร์ตครั้งใหญ่หลังจากเห็นสถานการณ์ 7 เดือนแรกผ่านไป โดยปรับลดน้ำหนักการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงลงมาอยู่สัดส่วน 20% จากต้นปีที่อยู่ประมาณ 60-80% และเพิ่มน้ำหนักการลงทุนตราสารหนี้ทั้งระยะสั้นและระยะยาวในสัดส่วน 80%
นายชัยพร กล่าวว่า จากการที่ตลาดหุ้นไทยยังให้ผลตอบแทนไม่น่าจูงใจเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน จึงแนะนำให้กระจายการลงทุนไปยังตลาดหุ้นต่างประเทศ ผ่าน DR และกองทุน ETF โดยไม่ต้องไปลงทุนตรงด้วยตัวเอง โดยให้น้ำหนักที่ตลาดหุ้นเวียดนาม เพราะกำไรบริษัทจดทะเบียนเติบโตเฉลี่ยปีล ะ15%-16% แม้ PE และ Valuation จะเท่ากัน แต่ค่าเงินของเวียดนามมีการแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด 5 ปีที่ผ่านมา แต่ก็ลดน้ำหนักการลงทุนจาก 13% เป็น 9%, ส่วนตลาดหุ้นจีนและญี่ปุ่นแนะขายไปก่อนหน้ายังไม่ให้น้ำหนักลงทุน เพราะกำลังซื้อในประเทศยังไม่ฟื้นตัว สะท้อนผ่านราคาบ้านและยอดขายบ้านในจีนยังไม่กลับมา
ขณะที่ ตลาดหุ้นสหรัฐฯชะลอตัวในช่วงนี้ รอให้ตลาดปรับตัวให้ชัดก่อน ลดน้ำหนักการลงทุนจาก 12% เป็น 6% โดยหุ้นที่น่าสนใจยังเป็นหุ้นเทคโนโลยี สามารถลงทุนผ่าน DR ที่อ้างอิงดัชนีแนสแดกซ์ได้ และลงทุนผ่านกองทุนท็อปฟันด์