“สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด” ชี้ไทยมีลุ้นได้ปรับอันดับเครดิต

สแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด เชื่อหลังเลือกตั้งประเทศไทยจะได้ปรับอันดับเครดิต มีลุ้นถึง A หนุนเม็ดเงินต่างชาติไหลเข้าหุ้น-ตราสารหนี้ มั่นใจ พ.ย. นี้ กนง.จะขึ้นดอกเบี้ยลดช่องว่างดอกเบี้ยสหรัฐฯ ป้องกันเงินไหลออก ประเมินเศรษฐกิจปีหน้าโต 4.5% ยังอยู่ในเกณฑ์ Good แต่ไม่ Great เหมือนผ่านมา หวั่นนักท่องเที่ยวจีนหดกระทบดุลบัญชีเดินสะพัดไม่แกร่งเท่าเดิม

นายทิม ลีฬหะพันธุ์ นักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) กล่าวว่า หลังการเลือกตั้งประเทศไทยมีโอกาสที่จะได้รับการปรับอันดับความน่าเชื่อถือจากสถาบันการจัดอันดับความน่าเชื่อระดับโลกเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 1 ขั้นจาก BBB+ ในปัจจุบันเป็น A- หรืออาจจะขึ้นไปได้ถึง A ซึ่งเป็นระดับที่ไทยเคยได้รับในช่วงก่อนเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ปี 2540

“หลายปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยเติบโตขึ้นจริง กำลังจะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นในต้นปีหน้า และมีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจริงทำให้เชื่อว่า ประเทศไทยจะได้รับการปรับอันดับความน่าเชื่อถือภายในครึ่งแรกของปี 2562 ซึ่งจะเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนต่างชาติ และมีเงินไหลกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและตราสารหนี้ไทย หลังจากที่ไม่เข้ามาหลายปี” นายทิม กล่าว

ทิม ลีฬหะพันธุ์

อย่างไรก็ตาม นายทิม ประเมินว่า การปรับอันดับความน่าเชื่อถือเป็นการมองจากอดีต แต่สิ่งที่จะทำให้เม็ดเงินจากต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนต่อเนื่องจะต้องมีตัวขับเคลื่อนใหม่ๆ เข้ามากระตุ้น เพราะแม้ว่าเศรษฐกิจจะดี มีการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน แต่นักลงทุนต้องการเห็นอนาคต ซึ่งแผนยุทธศาสตร์ภายใต้ไทยแลนด์ 4.0 และโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจ พิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่จะมีการประมูลต้นปี 2562 มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนใหม่ของประเทศไทย

นายทิม กล่าวอีกว่า ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) คาดว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 0.25% มาอยู่ที่ระดับ 1.75% ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 14 พ.ย. 2561 และคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นอีก 2 ครั้งในปี 2562 โดยขึ้นดอกเบี้ยหนึ่งครั้งในครึ่งปีแรกของปีหน้า และอีกหนึ่งครั้งในครึ่งปีหลัง ทำให้ดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ที่ 2.25% ณ สิ้นปี 2562

“เนื่องจาก ธปท. ส่งสัญญาณมาแล้ว จะเห็นได้จากความกังวลต่อการเก็งกำไรอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเกิดจากดอกเบี้ยไทยอยู่ในระดับต่ำมานาน และในการประชุมเดือน ก.ย. ที่ผ่านมา มีถึง 2 เสียงที่โหวตให้ปรับขึ้นดอกเบี้ย นอกจากนี้ ยังเป็นการปรับเพิ่มขึ้นเพื่อรักษาระยะห่างระหว่างดอกเบี้ยนโยบายไทยและสหรัฐฯ ไม่ให้ห่างเกินไป เพราะหากมีส่วนต่างมากเกินไปมีโอกาสที่เงินทุนจะไหลออกจากประเทศไทย ขณะที่อัตราเงินเฟ้อมีโอกาสปรับเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันที่คาดว่าจะทรงตัวอยู่ระดับมากกว่า 80 ดอลลาร์หรัฐต่อบาร์เรลในปีหน้า” นายทิม กล่าว

พร้อมกันนี้ นายทิม กล่าวอีกว่า ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด (ไทย) คาดว่า ในปี 2562 เศรษฐกิจไทยจะเติบโต 4.5% โดยมั่นใจว่า นโยบายขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทยจะยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีรัฐบาลใหม่ เนื่องจากจะมีสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่มาจากการแต่งตั้ง 250 คน มีวาระ 5 ปี คอยดูแลให้นโยบายเดินไปตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

“ประเด็นที่น่าจับตามองของประเทศไทยในปี 2562 คือ การเลือกตั้งที่รอคอยกันมานานนับตั้งแต่การปฏิวัติในปี 2557 โดยมีการคาดกันว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในช่วงต้นปีหน้า ยิ่งขยับเข้าใกล้วันเลือกตั้ง ความเคลื่อนไหวทางการเมืองยิ่งมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แต่คาดว่าการเลือกตั้งจะผ่านพ้นไปด้วยดีและการเปลี่ยนรัฐบาลจะช่วยกระตุ้นบรรยากาศการค้าการลงทุน โดยเฉพาะการจับจ่ายใช้สอยในต่างจังหวัดจะเพิ่มขึ้นจากการทำกิจกรรมทางการเมือง” นายทิม กล่าว

อย่างไรก็ตาม นายทิม กล่าวว่า ในปี 2562 มีปัจจัยที่ต้องจับตา คือ ปริมาณเงินเกินดุลบัญชีเดินสะพัดจะลดลงมาอยู่ที่ 7.0% ของ GDP ในปี 2562 จากปัจจุบันที่ 10% ของ GDP เนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ความเสี่ยงในภาคธุรกิจท่องเที่ยว และการนำเข้าที่เพิ่มสูงขึ้นในระยะกลางอันเนื่องมาจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและการลงทุน

“หลังจากเหตุการณ์ที่ภูเก็ตเมื่อต้นเดือน ก.ค. 2561 จะเห็นว่าจำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงต่อเนื่อง และคาดว่าจะลดลงไปจนถึงจบไตรมาส 1 ปีหน้า ซึ่งเป็น High Season ของไทย ซึ่งนักท่องเที่ยวจีนในแต่ละปีจะมีจำนวน 10 ล้านคน และนำรายได้เข้าประเทศไทยปีละ 5 แสนล้านบาท หรือ 5% ของ GDP จึงมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย ซึ่งหากไม่มีมาตรการแก้ปัญหาออกมาจะส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดลดลง” นายทิม กล่าว

นายทิม ยังกล่าวอีกว่า “หลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยถือว่าอยู่ในระดับ Great ปีนี้ก็ยังดีอยู่แต่ลดลงมาอยู่ระดับ Good ซึ่งบนสถานการณ์ที่โลกมีความผันผวนสูง แค่ Good อาจจะยังไม่พอ เพราะหากมีประเทศอื่นที่เป็น Great เช่น เวียดนาม ก็อาจจะดึงความสนใจจากนักลงทุนต่างชาติไปได้และทำให้มีเงินไหลออกจากประเทศไทยก็ได้”