ฟิทช์ฯ คงเครดิตไทย BBB+ ศก.โตต่อเนื่อง จับตาการเมือง

HoonSmart.com>>สถาบันจัดอันดับ ฟิทช์ เรทติ้งส์ คงเรทติ้งประเทศไทยที่ BBB+ และคงมุมมองที่มีเสถียรภาพ คาดเศรษฐกิจขยายตัวต่อเนื่องจาก 2.6% ในปี 65 เป็น 3.7% และ 3.8% ในปี 66-67  การขาดดุลการคลังลดลง จากรายได้ภาษีแข็งแกร่ง ดุลบัญชีเดินสะพัดจะกลับมาเกินดุลที่ 2.0% ของ GDP และจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.9% ในปี 67 พร้อมจะปรับลดเครดิตหากไม่สามารถรักษาเสถียรภาพการคลัง ติดตามความไม่แน่นอนทางการเมือง

นางแพตริเซีย มงคลวนิช ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ เปิดเผยว่า บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทยอยู่ในระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) โดยคาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโตอย่างต่อเนื่องจาก 2.6% ในปี 2565 เป็น 3.7% และ 3.8% ในปี 2566 และปี 2567 ตามลำดับ โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และคาดว่าปี 2566 นักท่องเที่ยวต่างชาติจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 29 ล้านคน จาก 11.2 ล้านคน ในปี 2565ประกอบกับ การบริโภคภาคเอกชนที่แข็งแกร่ง ตลอดจนการฟื้นตัวของตลาดแรงงานอย่างต่อเนื่องภายใต้มาตรการสนับสนุนต่าง ๆ และมีสัดส่วนหนี้ภาคครัวเรือนต่อ GDP ลดลง

อย่างไรก็ตาม การส่งออกสินค้าและบริการคาดว่าจะได้รับผลกระทบจากการลดลงหรือชะลอตัวของอุปสงค์และเศรษฐกิจโลก และการใช้นโยบายการเงินแบบหดตัวของประเทศที่พัฒนาแล้ว (Advanced Economies)

ด้านภาคการคลังสาธารณะ ฟิทช์คาดว่า การขาดดุลจะลดลงอย่างต่อเนื่องจาก 4.4% ในปี 2565 เป็น 3.4% ในปี 2566 และคาดว่าปี 2567 จะขาดดุลที่ 3.2% ซึ่ง สะท้อนถึงรายได้ภาษีที่แข็งแกร่งขึ้นและการสิ้นสุดของมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 อย่างไรก็ตาม ภายในปี 2567 คาดว่า สัดส่วนหนี้ภาครัฐบาลต่อ GDP (General Government Debt to GDP) จะเพิ่มขึ้นเป็น 55.9% แต่ยังคงอยู่ในระดับเดียวกับกลุ่มประเทศที่มีอันดับความน่าเชื่อถือระดับเดียวกัน (BBB Peers) และจะทยอยลดลงเนื่องจากมีการปรับภาวะทางการคลังให้เข้าสู่สมดุล (Fiscal Consolidation) นอกจากนี้ รัฐบาลไทยยังคงสามารถระดมทุนในประเทศได้เป็นอย่างดีในทุกสถานการณ์ ส่งผลให้หนี้สาธารณะคงค้างส่วนใหญ่เป็นหนี้สกุลเงินบาทและมีอายุคงเหลือที่ค่อนข้างยาว จึงช่วยลดความเสี่ยงด้านการคลัง
ภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) ยังคงแข็งแกร่งและยืดหยุ่น แม้ต้องเผชิญกับข้อจำกัดทางการเงินโลกและความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์

“ฟิทช์ฯ คาดว่า ปี 2566 ดุลบัญชีเดินสะพัดจะกลับมาเกินดุลที่ 2.0% ของ GDP และจะเพิ่มขึ้นเป็น 3.9% ในปี 2567 เนื่องจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวและราคาน้ำมันที่คลี่คลาย อีกทั้งปี 2566 คาดว่าประเทศไทยจะมีทุนสำรองระหว่างประเทศสูงมาก คือ 7.3 เดือน ขณะที่คาดว่า BBB Peers และ A Peers จะมีค่ากลางอยู่ที่ 4.2 เดือน”

ส่วนปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ ฟิทช์ฯปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย คือ การลดลงของสัดส่วนหนี้ภาครัฐบาลต่อ GDP  การลดการขาดดุลตลอดจนการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมอย่างมีศักยภาพในระยะปานกลาง ในทางกลับกันปัจจัยสำคัญที่อาจทำให้ฟิทช์ฯมีการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือ คือ การไม่สามารถรักษาเสถียรภาพทางการคลัง ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่ส่งผลต่อการกำหนดนโยบายเศรษฐกิจและส่งผลต่อการเติบโตหรือการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ปัจจัยสำคัญต่อการปรับมุมมองในระยะปานกลาง  คือ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่จะส่งผลต่อแผนการปรับภาวะทางการคลังให้เข้าสู่สมดุล (Fiscal Consolidation)