4 ข้อที่มักเข้าใจผิดเกี่ยวกับ ‘การลงทุนอย่างยั่งยืน’

โดย….นางสาวสิรีฒร ศิวิลัย
ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายผู้ประกอบธุรกิจ
สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)

คุณผู้อ่านหลายท่านคงเคยได้ยินเกี่ยวกับ ‘การลงทุนอย่างยั่งยืน’ หรือ ‘sustainable investing’ รวมทั้งกองทุนรวมเพื่อความยั่งยืน (Sustainable and Responsible Investing Fund หรือ SRI Fund ) ซึ่งเป็นกองทุนรวมที่มุ่งเน้นลงทุนในกิจการที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนมาบ้างแล้ว รวมทั้งคงเคยได้ยินคำบอกเล่าเกี่ยวกับการลงทุนลักษณะดังกล่าวนี้ แต่อาจไม่แน่ใจว่ามีสถานะและมีข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร วันนี้ผู้เขียนจึงขอชวนผู้อ่านมา ทำความรู้จักกับการลงทุนอย่างยั่งยืน เพื่อให้มีความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้อง ก่อนการตัดสินใจลงทุนสักนิดค่ะ โดยขอหยิบยก 4 ประเด็นสำคัญ ที่คนมักเข้าใจผิดเกี่ยวกับ “การลงทุนอย่างยั่งยืน” มาขยายความเพิ่มเติมดังนี้ค่ะ

ข้อแรก “การลงทุนอย่างยั่งยืนทำให้ผลตอบแทนของกองทุนรวมลดลง”

ผลการศึกษาจากสถาบันชั้นนำหลายแห่งชี้ให้เห็นว่า ผู้จัดการกองทุนที่ผนวกปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม(Environmental) สังคม (Social) และธรรมาภิบาล (Governance) หรือ “ESG” ในการวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุน จะช่วยให้เห็นทั้งโอกาสและความเสี่ยงที่อาจส่งผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของกองทุนรวมได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น[1] ยกตัวอย่างเช่น กรณีรถยนต์ไฟฟ้า (electric vehicle : EV) ที่ปัจจุบันผู้บริโภคไทยมีความต้องการใช้งาน EV เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่ารถยนต์สันดาป จะทำให้เกิดโอกาสเชิงธุรกิจที่จะไปช่วยเพิ่มผลประกอบการให้แก่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและผู้ผลิตชิ้นส่วนที่สำคัญ ไม่ว่าจะเป็นแบตเตอรี่และมอเตอร์ไฟฟ้า หรือกรณีสินค้าเกษตร (เช่น ข้าว) ที่ภาวะฝนแล้งจากปรากฏการณ์เอลนินโญ่ทำให้ผลผลิตในประเทศมีปริมาณลดลง การดำเนินธุรกิจและผลกำไรของบริษัทที่ผลิตและแปรรูปจากข้าวอาจได้รับผลกระทบได้ หากไม่มีแผนรองรับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพภูมิอากาศที่ดี

ดังนั้น ผู้จัดการกองทุนที่ผนวกปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมในการวิเคราะห์และตัดสินใจลงทุนจะช่วยให้สามารถประเมินโอกาสทางการลงทุน และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีผลกระทบต่อกิจการที่ออกหลักทรัพย์ที่กองทุนรวมจะตัดสินใจลงทุน และพอร์ตการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพซึ่งช่วยสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนที่ดีในระยะยาวได้ต่อไป

อย่างไรก็ดี ผลตอบแทนของกองทุนรวมมีโอกาสปรับลดลงได้เช่นกันหลังจากที่ผู้ลงทุนซื้อหน่วยลงทุนแล้ว ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย เช่น ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ความไม่แน่นอนทางการเมือง ปัญหาเงินเฟ้อและการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย เป็นต้น ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงที่เป็นระบบ (Systematic Risk) ที่บริษัทที่กองทุนรวมลงทุน ไม่อาจควบคุมหรือขจัดได้ และทุกบริษัทได้รับผลกระทบเหมือนกัน ทำให้ผลการดำเนินงานของกองทุนรวมที่ลงทุนในบริษัทต่าง ๆ อาจได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน

ข้อที่ 2 “การลงทุนอย่างยั่งยืนเป็นการลงทุนที่มุ่งเน้นประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมเท่านั้น”

แม้ว่าการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม เช่น การแก้ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เป็นต้น จะเป็นประเด็นสำคัญ แต่การลงทุนอย่างยั่งยืนไม่จำเป็นต้องมุ่งเน้นประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมเพียงอย่างเดียว หากเราย้อนไปพิจารณาหลักคิดเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development) ซึ่งมีที่มาจากรายงาน ที่เรียกว่า ‘Our Common Future’ ที่จัดทำโดย Brundtland Commission ภายใต้องค์การสหประชาชาติ (United Nations : UN) เมื่อปี ค.ศ. 1987[2] การพัฒนาที่ยั่งยืนนั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อรักษาความยั่งยืนของทรัพยากรของโลกที่มีจำกัดให้สามารถสืบทอดไปสู่คนรุ่นหลังได้ หากจะบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนได้ ต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ประการ ได้แก่ การเติบโตทางเศรษฐกิจ (economic profitability) ความครอบคลุมทางสังคม (social equity) และการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม (environmental protection)

นอกจากนี้ UN ได้จัดทำ “2030 Agenda for Sustainable Development” ซึ่งเป็นกรอบการพัฒนาของโลกเพื่อร่วมกันบรรลุการพัฒนาทางสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ภายในปี ค.ศ. 2030 โดยกำหนดให้มีเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) 17 เป้าหมาย[3] เป็นแนวทางให้แต่ละประเทศดำเนินการร่วมกัน ซึ่งประเทศไทยและสมาชิก UN รวม 193 ประเทศ ได้ร่วมลงนามรับรองวาระที่สำคัญดังกล่าวของโลกด้วย

ด้วยเหตุนี้ กองทุนรวมที่มุ่งเน้นลงทุนอย่างยั่งยืนไม่ได้หมายความว่าต้องสนับสนุนกิจการที่ให้ความสำคัญด้านสิ่งแวดล้อมเพียงอย่างเดียว บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) สามารถจัดตั้งและบริหารจัดการกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนที่มุ่งเน้นเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านอื่น ๆ ตามกรอบ UN SDGs ได้ เช่น การดูแลสุขภาพและคุณภาพชีวิต การศึกษา การช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสทางสังคม เป็นต้น ดังนั้น ผู้ลงทุนจึงควรศึกษานโยบายการลงทุนของแต่ละกองทุนรวมก่อนตัดสินใจลงทุน เพื่อให้แน่ใจว่าวัตถุประสงค์การลงทุนด้านความยั่งยืนของกองทุนรวมนั้น ๆ สอดคล้องกับเป้าหมายการลงทุนของตนเอง

ทั้งนี้ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ลงทุนมีข้อมูลเพียงพอประกอบการตัดสินใจลงทุน ก.ล.ต. ได้กำหนดมาตรฐานการเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการลงทุนอย่างยั่งยืนของ SRI Fund ซึ่งทุก บลจ. ที่บริหารจัดการกองทุนรวมดังกล่าวจะต้องปฏิบัติตาม โดยผู้ลงทุนสามารถสังเกตได้จากตราสัญลักษณ์ ‘SRI Fund’ ที่ปรากฏบนหน้าปกของหนังสือชี้ชวนกองทุนรวมของ SRI Fund

ข้อที่ 3 “การลงทุนอย่างยั่งยืน คือ การไม่ลงทุนในกิจการที่ดำเนินธุรกิจขัดต่อเป้าหมายด้านความยั่งยืนเท่านั้น”

การคัดกรองเชิงลบ (negative screening) เป็นเพียงหนึ่งในกลยุทธ์การลงทุนที่ผู้จัดการกองทุนสามารถเลือกใช้ในการบริหารจัดการกองทุนรวมที่มุ่งเน้นลงทุนอย่างยั่งยืน โดย negative screening มีจุดเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1758 เมื่อกลุ่มเควกเกอร์ (Quakers) ซึ่งเป็นนิกายหนึ่งของโปรเตสแตนต์ได้ออกมาเคลื่อนไหวและต่อต้านการซื้อขายทาสในประเทศสหรัฐอเมริกาด้วยเหตุผลทางจริยธรรม[4] ตั้งแต่นั้นมา negative screening จะถูกอ้างอิงถึง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ผู้จัดการกองทุนคัดกรองกิจการบางประเภทที่อาจขัดต่อหลักจริยธรรมออกจากขอบเขตการลงทุน เช่น กิจการที่เกี่ยวข้องกับยาสูบ การพนัน การค้าอาวุธ เป็นต้น อย่างไรก็ดีในการบริหารจัดการกองทุนรวมที่มุ่งเน้นการลงทุนอย่างยั่งยืน ผู้จัดการกองทุนอาจเลือกใช้กลยุทธ์การลงทุนที่หลากหลายนอกเหนือไปจาก negative screening ได้ อาทิ

๐ การคัดกรอกเชิงบวก (positive screening หรือ best-in-class screening) คือ การคัดเลือกหลักทรัพย์ของกิจการที่มีความโดดเด่นในการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เมื่อเทียบกับบริษัทอื่นในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน

๐ การผนวกปัจจัยด้าน ESG ในกระบวนการลงทุน (ESG integration) คือ การนำข้อมูลทั้งด้านการเงินและด้านความยั่งยืนของกิจการมาใช้วิเคราะห์ คัดเลือกหลักทรัพย์อย่างเป็นระบบ

การลงทุนตามธีมความยั่งยืน (thematic investing) คือ การลงทุนในหลักทรัพย์ของกิจการที่ดำเนินธุรกิจสอดคล้องตามธีมหรือวัตถุประสงค์ด้านความยั่งยืนที่กองทุนรวมต้องการส่งเสริมเป็นการเฉพาะ เช่น การเปลี่ยนผ่านพลังงานดั้งเดิมไปสู่พลังงานสะอาด สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี เป็นต้น

๐ การลงทุนเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวก (impact investing) คือ การที่ผู้จัดการกองทุนมีเป้าหมายการลงทุนเพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมหรือสิ่งแวดล้อมอย่างชัดเจน โดยจะต้องวัดผลกระทบดังกล่าวได้ เพื่อความโปร่งใสและป้องกันการฟอกเขียว (greenwashing) ด้วย

นอกจากนี้ ผู้จัดการกองทุนจะปฏิบัติหน้าที่ผู้ลงทุนที่มีความรับผิดชอบ (stewardship activities) ด้วยการเข้าไปมีส่วนร่วมกับบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ (engagement) เพื่อให้บริษัทมีการกำกับดูแลกิจการที่ดี มีความรับผิดชอบต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม โดยผู้จัดการกองทุนจะหารือร่วมกับบริษัทในประเด็นสำคัญที่อาจส่งผลกระทบต่อมูลค่าเงินลงทุน เพื่อส่งเสริมให้บริษัทมีการปรับปรุงและพัฒนาแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน โดยหากบริษัทไม่มีการพัฒนาหรือดำเนินการภายใต้กรอบระยะเวลาที่ตกลงกัน ผู้จัดการกองทุนก็อาจพิจารณาลดสัดส่วนหรือ ไถ่ถอนการลงทุนออกจากบริษัทดังกล่าวได้ต่อไป

คำถามต่อมาที่หลายท่านอาจสงสัย คือ ผู้จัดการกองทุนมีแนวทางการพิจารณาใช้กลยุทธ์การลงทุนอย่างไร ขอตอบว่า โดยทั่วไปผู้จัดการกองทุนจะพิจารณาใช้กลยุทธ์การลงทุนที่สอดคล้องกับวัตถุประสงค์การลงทุนอย่างยั่งยืนของแต่ละกองทุนรวม เพื่อให้การบริหารจัดการลงทุนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและตรงตามวัตถุประสงค์การลงทุนที่กำหนดไว้ เช่น หากกองทุนรวมมีวัตถุประสงค์การลงทุนเพื่อให้เกิดผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมหรือสิ่งแวดล้อม ผู้จัดการกองทุนอาจพิจารณาเลือกใช้กลยุทธ์ impact investing และ engagement ไปพร้อม ๆ กัน เป็นต้น โดยผู้จัดการกองทุนจะทำการวัดผลและรายงานผลกระทบเชิงบวกจากการบริหารจัดการกองทุนรวม ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จในการบรรลุเจตนารมณ์และเป้าหมายด้านความยั่งยืนที่กองทุนรวมกำหนดไว้ อีกทั้งยังแสดงให้เห็นถึงความมีประสิทธิภาพของการมีส่วนร่วมกับบริษัทผู้ออกหลักทรัพย์ของผู้จัดการกองทุนด้วย

ทั้งนี้ สำหรับ SRI Fund ก.ล.ต. ได้กำหนดให้ บลจ. ที่บริหารจัดการกองทุนรวมดังกล่าวเปิดเผยกลยุทธ์ การลงทุนของ SRI Fund ไว้อย่างชัดเจนในโครงการจัดการกองทุนรวมและหนังสือชี้ชวนกองทุนรวม เพื่อให้ผู้ลงทุนสามารถศึกษารายละเอียดก่อนตัดสินใจลงทุน และเพื่อให้ ก.ล.ต. สามารถตรวจสอบการบริหารจัดการลงทุนของ บลจ. ได้ในภายหลังด้วย

ข้อสุดท้าย “การลงทุนอย่างยั่งยืน คือ กระแสการลงทุนของคนกลุ่มมิลเลนเนียลเท่านั้น”

แม้ว่าคนกลุ่มมิลเลนเนียล (millennials) หรือกลุ่มคนเจนวาย (Gen Y) ที่เกิดช่วงปี พ.ศ. 2527 – 2539 จะเป็นกลุ่มประชากรที่มีจำนวนมากที่สุดในโลก แต่ผลการศึกษากลุ่มผู้ลงทุนในหลายประเทศพบว่า ความสนใจเกี่ยวกับการลงทุนอย่างยั่งยืนครอบคลุมกลุ่มคนหลายรุ่น ไม่ใช่แค่กลุ่มมิลเลนเนียลเพียงอย่างเดียว โดยความแตกต่างที่สำคัญคือ กลุ่มมิลเลนเนียล ให้ความสำคัญกับประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน ขณะที่กลุ่มเบบี้บูมเมอร์ (baby boomer) ที่เกิดช่วงปี พ.ศ. 2489 – 2507 ซึ่งเป็นคนกลุ่มที่เริ่มเข้าสู่วัยเกษียณแล้ว จะให้ความสำคัญด้านความครอบคลุมทางสังคมและศาสนา รวมทั้งมีวัฏจักรการลงทุนที่แตกต่างจากกลุ่มมิลเลนเนียล ซึ่งเป็นกลุ่มที่เพิ่งจะเริ่มเส้นทางการลงทุนและสามารถยอมรับความเสี่ยงจากการลงทุนได้มากกว่ากลุ่มเบบี้บูมเมอร์[5]

ปัจจุบัน SRI Fund ที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. มีนโยบายการลงทุนในกิจการทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่ผ่านการวิเคราะห์เชิงลึกจากผู้จัดการกองทุนแล้วว่า มีการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน รวมทั้งบางกองทุนก็สามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ โดยเริ่มต้นการลงทุนด้วยเงินหลักร้อยบาท ดังนั้น SRI Fund จึงเหมาะกับผู้ลงทุนทุกช่วงวัย (ไม่ใช่เฉพาะกลุ่มคนในรุ่นใดรุ่นหนึ่ง) ที่ต้องการลงทุนอย่างยั่งยืนไปพร้อม ๆ กับการกระจายการลงทุนและออมเงิน เพื่อสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนในระยะยาวเอาไว้ใช้ในยามเกษียณด้วย โดยท่านสามารถตรวจสอบรายชื่อ SRI Fund และเปรียบเทียบข้อมูลระหว่าง SRI Fund ได้ที่ SustainableFinance (sec.or.th)

สุดท้ายนี้ ดิฉันหวังว่าบทความฉบับนี้จะช่วยไขข้อข้องใจคุณผู้อ่านหลายท่านเกี่ยวกับ ‘การลงทุนอย่างยั่งยืน’ พร้อมไปกับทำให้ท่านรู้จัก SRI Fund มากยิ่งขึ้น เพื่อให้ผู้ลงทุนทุกท่านสามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างมีคุณภาพ โดยที่ผลของการลงทุนนั้นจะเป็นประโยชน์ระยะยาวต่อเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตของคนรุ่นต่อไปค่ะ