4 โบรกฯ ส่องหุ้นขึ้น Q3/66 การเมืองชัด เชียร์ 17 หุ้นเด่น

HoonSmart.com>> 4 โบรกฯเห็นพ้องหุ้นไตรมาส 3/66 มีลุ้นขึ้น หลังร่วงไปมากครึ่งปี -9.92% การจัดตั้งรัฐบาลคืบหน้า หนุนเม็ดเงินต่างชาติกลับมาซื้อ เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ดี ท่ามกลางดอกเบี้ยที่ยังปรับขึ้นแต่ตลาดรับรู้ไประดับหนึ่งแล้ว คาดแกว่งในกรอบ 1,450-1,600 จุด หุ้นเด่น AAV, BBL, HANA, AMATA, AH, SCB, LHFG, CPALL, SAWAD, OSP, CPAXT (เดิมชื่อ MAKRO), PTT, GULF, BGRIM, STEC, CK, GLOBAL

ตลาดหุ้นในไตรมาสที่ 2/2566 ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปิดที่ 1,503.10 จุด ปรับตัวลดลง 106.07 จุด คิดเป็น -6.59% เทียบกับไตรมาสแรกที่ระดับ 1,609.17 จุด และลดลง 165.56 จุด หรือ -9.92% เทียบกับสิ้นปี 2565 ที่ระดับ 1,668.66 จุด หลังจากนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ -107,139.26 ล้านบาท สวนทาง นักลงทุนไทยซื้อ 75,175.18 ล้านบาท  และสถาบันไทยซื้อสุทธิ 39,333.22 ล้านบาทในช่วงครึ่งปีแรก

น.ส.ชุติกาญจน์ สันติเมธวิรุฬ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นในไตรมาส 3/66 มีลุ้นฟื้นตัวได้หลังจากที่ปรับตัวลงไปมาก และพัฒนาการการเมืองที่ชัดเจนขึ้น ทำให้มีแรงซื้อกลับเข้ามาในหุ้นที่ปรับตัวลงไปมากในช่วงก่อนหน้านี้ และเงินทุนที่ไหลออก(ฟันด์โฟลว์) ไปก่อนหน้านี้ ก็อาจจะกลับเข้ามา จากนโยบายต่าง ๆ ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการจับจ่ายใช้สอย การบริโภค และการท่องเที่ยว ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี ขณะเดียวกันคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1 ครั้งเป็นอย่างน้อย จากที่เงินเฟ้อพื้นฐานยังไม่ค่อยปรับตัวลง ภาพเศรษฐกิจจะหนุน ตลาดหุ้นไทย อีกทั้งหุ้นได้ปรับตัวลงมาอยู่ในจุดที่น่าสนใจในแง่ Valuation

สำหรับหุ้นที่น่าสนใจลงทุนในไตรมาส 3/66 ให้น้ำหนักที่การท่องเที่ยวที่ยังไปต่อได้, กลุ่มธนาคารก็ยังดีได้ประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น แนะนำหุ้น AAV คาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวปีนี้จะมีราว 20-30 ล้านคน, BBL แข็งแกร่งสุดในกลุ่มธนาคาร และยังได้รับผลดีจากอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น รวมถึงเป็นแบงก์ที่มีการตั้งสำรองมาก นอกจากนี้ กลุ่มส่งออกก็น่าสนใจ เพราะไตรมาส 3 เป็นช่วง High Season แนะนำหุ้น HANA น่าจะเห็นภาพการฟื้นต้วด้านการส่งออกได้อย่างต่อเนื่อง และยังรับผลดีจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนด้วย อีกทั้งหุ้น AMATA ได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิต สามารถถือได้ยาว ๆ ไป, หุ้น AH ก็น่าสนใจ ได้ประโยชน์จากสนับสนุน EV ด้วย และยอดส่งออกรถยนต์เติบโตต่อเนื่อง

ทั้งนี้ หากมีความชัดเจนทางการเมือง เชื่อว่าจะทำให้เม็ดเงินไหลเข้าตลาดหุ้นไทย จึงมองกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีฯในไตรมาส 3 มีแนวต้าน 1,550-1,570 จุด ส่วนแนวรับ 1,450-1,470 จุด

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นในไตรมาส 3/66 มีจังหวะในการเด้งขึ้นได้ หลังแรงกดดันจากปัจจัยการเมืองคลายตัว และผลประกอบการงวดไตรมาส 2/66 คาดว่าจะออกมาเป็นบวกมากกว่าลบ แต่ตลาดก็ไม่ได้คาดหวังมากเพราะไตรมาส 2 เป็นช่วง Low Season รวมถึงปี 2565 ที่ผ่านมาฐานสูงด้วย รวมถึงคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน

อย่างไรก็ตามมีปัจจัยลบจากความขัดแย้งระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐกับจีน, จีนกับไต้หวัน, ยูเครนกับรัสเซีย อีกทั้งหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ทำให้มีการชะลอการบริโภคในช่วงการจัดตั้งรัฐบาล คาดว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจะออกมาในไตรมาส 4 แต่ก็ทำให้เห็น NPLs ที่สูงขึ้นได้เช่นกัน พร้อมให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีฯในช่วงไตรมาส 3/66 มีแนวรับ 1,450 จุด แนวต้าน 1,550-1,600 จุด

สำหรับหุ้นเด่น มองกลุ่มธนาคาร เพราะเม็ดเงินต่างชาติจะไหลเข้ามารับการตั้งรัฐบาลใหม่, ค้าปลีก, อาหารเครื่องดื่ม โดยแนะนำหุ้น SCB, LHFG, CPALL, SAWAD, OSP

นายเบญจพล สุทธิ์วนิช ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) กล่าวว่า ทิศทางตลาดหุ้นในช่วงไตรมาส 3/66 คาดว่าจะเคลื่อนไหวไซด์เวย์ ดัชนีฯควรจะรีบาวด์ได้แต่อาจไปได้ไม่ไกล เนื่องจากปัจจัยการเมืองที่อาจมีการจัดตั้งรัฐบาลได้ล่าช้า ทำให้ตลาดยังอาจจะผันผวนได้ แต่หากสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ดัชนีฯก็มีโอกาสที่จะปรับขึ้นไปแถว 1,530 จุด

สำหรับการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ในเดือนก.ค.นี้ คาดว่าเฟดไม่น่าจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพราะเงินเฟ้อของสหรัฐมีโอกาสที่จะปรับตัวลงมาไม่เกิน 3% เนื่องจากราคาน้ำมันลงมาอยู่ในระดับที่ต่ำมาก แต่ความเห็นนี้ก็ขัดแย้งกับเฟดที่ส่งสัญญาณจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในช่วงที่เหลือของปีนี้

นอกจากนี้ กำไรของบริษัทจดทะเบียนล่าสุดได้ปรับลดประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) ลงมาเหลือ 93 บาท จากเดิม 105 บาท ซึ่ง EPS หายไปแล้ว 12 บาท จึงมอง Downside ของ SET ได้แค่ 1,472 จุด ก็จำกัดแล้ว ส่วนเศรษฐกิจปีนี้คาดว่าจะขยายตัวได้ 3%

“คงจะคาดหวัง Fund Flow ไหลเข้าได้ยากในปีนี้ เนื่องจากปี 2565 ต่างชาติซื้อหุ้นไทยไปราว 2 แสนล้านบาท มาถึงตอนนี้ขายไปแค่ 1 แสนล้านบาทเอง ยังขายได้อีก ตอนนี้ต้องคาดหวังที่กองทุน เพราะถือเงินสดไว้เยอะ ดังนั้นระยะสั้นยังไม่แนะนำให้ลงทุน แต่หากจะมองหุ้นที่มีความเสี่ยงน้อยสุด เป็นหุ้นที่มีงบฯดี, Valuation ยังถูก และไม่เสี่ยงต่อกฏระเบียบของภาครัฐ  ไปตกที่กลุ่มอุปโภค-บริโภค   ชอบหุ้น CPALL, CPAXT (เดิมชื่อ MAKRO), PTT พร้อมให้กรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีฯในช่วงไตรมาส 3/66 ไว้ที่ 1,460-1,530 จุด”นายเบญจพลกล่าว

นายศราวุธ เตโชชวลิต ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ไตรมาส 3/2566 ตลาดยังมีลุ้นปรับขึ้นได้ โดยให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,460-1,560 จุด ปัจจัยการเมืองน่าจะจบได้ในครึ่งแรกเดือนก.ค. แม้ขณะนี้จะยังมีความไม่แน่นอนอยู่ ส่วนเฟดคงจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนก.ค. ด้านดอกเบี้ยไทยจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1 ครั้ง

นอกจากนี้ ในเดือนส.ค.จะมีการทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาส 2/2566 ออกมา คาดว่าจะออกมาใกล้เคียงกับไตรมาส 1โดยกลุ่มพลังงานคงจะไม่ดี จากการขาดทุนสต็อกน้ำมัน และค่าการกลั่นก็ลดลง ส่วนกลุ่มธนาคารอาจไม่จำเป็นในการตั้งสำรองฯมาก เพราะตั้งสำรองฯไปมากแล้ว

“หุ้นปรับตัวลงไปเยอะแล้ว ทั้งหุ้นในกลุ่มรับเหมาฯ โรงไฟฟ้า ค้าปลีก รวมถึงกลุ่ม EA มองว่ายังน่าลงทุน โดยแนะนำหุ้น GULF, BGRIM, STEC, CK, CPALL, CPAXT (เดิมชื่อ MAKRO), GLOBAL ส่วนกลุ่มธนาคารก็น่าสนใจลงทุนเพราะราคาไม่แพง”นายศราวุธกล่าว