ตื่นทิ้งแบงก์กลัวหนี้ STARK มองเป็นโอกาสซื้อของถูก

HoonSmart.com>>แบงก์ร่วงยกแผง นำโดย BBLกลัวผลกระทบบลจ.บัวหลวงเทกระจาด STARK ขาดทุนยับ จิ๊บจ๊อยเทียบฐานะแบงก์กรุงเทพ  ส่วน SCB-KBANK เจ้าหนี้โดนหางเลขตั้งสำรองเพิ่ม ผสม FETCO ระบุ ธนาคารไทย 3 อันดับแรกมีหนี้เสียสูงสุดในอาเซียน นักลงทุนหันมาทิ้งกลุ่มธนาคาร จากราคาแกร่ง เล่นเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันมาตลอด ขณะที่หุ้นในกลุ่มอื่นปรับตัวลงไปมาก-เล่นใต้เส้น 200 วันแล้ว

หุ้นในกลุ่มธนาคารปรับตัวลงยกแผง นำโดยหุ้นธนาคารกรุงเทพ( BBL) ร่วงลง 3.72% ปิดที่ 155.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขายมากถึง 3,999.48 ล้านบาท รวมถึงธนาคารอื่นๆ กดดันให้ตลาดโดยรวมร่วงลง 11.17 จุด หรือ -0.76% ดัชนีปิดที่ระดับ 1,466.93 จุด มูลค่าการซื้อขายหนาตามขึ้น 48,890.40 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศกลับมาซื้อสุทธิ 505.51 ล้านบาท นักลงทุนไทยยังคงเก็บต่อ 2,020.00 ล้านบาท ส่วนนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 1,798.19 ล้านบาท

น.ส.ชุติกาญจน์ สันติเมธวิรุฬ ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) กล่าวว่า ราคาหุ้นในกลุ่มธนาคารปรับตัวลงทั่วหน้า กดดันตลาดโดยรวม คาดว่าจะได้รับแรงกดดันจากข่าวที่สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ออกมาว่า ธนาคารไทย 3 อันดับแรกมีหนี้เสียสูงสุดในอาเซียน และการตั้งสำรองในไตรมาส 2/66 ของกลุ่มธนาคารอาจมีมากขึ้น จากปัญหา STARK ที่เกิดขึ้น

นอกจากนี้ ยังต้องจับตาแบงก์ชาติที่จะมีการออกมาตรการมาจัดการลูกหนี้ อาจจะเป็นการแบ่งชั้นลูกหนี้ ต้องติดตามดูต่อไปจะเป็นอย่างไร และแม้สินเชื่อจะยังเติบโต แต่หนี้ NPL ก็โตไปด้วย อย่างไรก็ดี การตั้งสำรองของธนาคารในไทยยังมีอยู่ในระดับสูง ทั้งนี้ ปัจจัยพื้นฐานของกลุ่มธนาคารยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี และได้ประโยชน์จากทิศทางอัตราดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น

ทั้งนี้ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ได้เปิดเผยว่า แบงก์ไทย 3 อันดับแรก มีหนี้เสียมากกว่า 9.6 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ สูงสุดในอาเซียน

นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ลิเบอเรเตอร์ กล่าวว่า หุ้นในกลุ่มธนาคารปรับตัวลงนำตลาดในวันนี้ คาดว่าจะเป็นเพราะที่ผ่านมาหุ้นในกลุ่มธนาคารเล่นเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันมาตลอด ขณะที่หุ้นในกลุ่มอื่นปรับตัวลงไปมาก เล่นใต้เส้น 200 วันกันไปหมดแล้ว จึงทำให้หันมาขายหุ้นในกลุ่มธนาคารบ้าง อีกทั้งยังได้ Sentiment ลบจากประเด็นปัญหา STARK ด้วย ทำให้เป็นห่วงเรื่องหนี้เสีย NPL

อย่างไรก็ดี ด้วยปัจจัยพื้นฐานของกลุ่มธนาคารถือว่ายังแข็งแกร่ง โดยผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2/66 ก็คาดว่าจะออกมาดี และ Valuation ค่อนข้างถูก

นายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้ปรับตัวลงสวนทางตลาดหุ้นอื่นในภูมิภาคเอเชียตามดาวโจนส์ที่ปรับตัวขึ้นเมื่อคืนที่ผ่านมา จากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐของออกมาดี ทั้งยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน และยอดขายบ้านใหม่ แต่ตลาดหุ้นไทยมีแรงกดดันจากการจัดตั้งรัฐบาลที่ยังไม่แน่นอน โดยวันที่ 4 ก.ค.นี้จะมีการตั้งประธานสภา ซึ่งขณะนี้พรรคร่วมยังต่อรองกันอยู่

นอกจากนี้ ยังมีแรงกดดันจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก และเศรษฐกิจของจีนก็ไม่ได้ฟื้นเร็วอย่างที่คาด โดยวันนี้หุ้นในกลุ่มธนาคารปรับตัวลงนำตลาด พร้อมให้ติดตามความคืบหน้าการเมืองต่อไป และติดตามจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐ และตัวเลข GDP ไตรมาส 1/66 ของสหรัฐ ที่จะออกมาในวันพฤหัสบดีนี้ (29 มิ.ย.) ส่วนวันศุกร์ (30 มิ.ย.) ติดตามดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วน่บุคคล (PCE) ของสหรัฐ

แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (29 มิ.ย.) ตลาดคงจะเคลื่อนไหวไซด์เวย์ในช่วงรอความคืบหน้าการเมืองไทย โดยให้แนวรับ 1,460-1,450 จุด แนวต้าน 1,480-1,490 จุด