SET ร่วง 11% mai ดิ่ง 23% ไม่ต้องรีบซื้อ คาดครึ่งหลังลงลึก 1400-1450

HoonSmart.com>>ต่างชาติขายหุ้นตั้งแต่ต้นปีถึง 27 มิ.ย.มากถึง 110,500.92 ล้านบาท กดดันดัชนี SETร่วงลงไปถึง 11.42%  ดัชนี mai ดิ่งรุนแรง 23.44% นักวิเคราะห์ทิสโก้คาดไตรมาสที่ 3 น่าจะลงลึกที่สุดของปีนี้ที่ 1,450 จุด แนะนำให้ถือเงินสด รอฟื้นปลายปี 1,496 จุด บล. โกเบล็กมองครึ่งปีหลังดีสุด 1,700 จุด แย่สุด 1,400 จุด ล่าสุดปิดที่ 1,478.10 จุด เงินบาทปิด 35.29 อ่อนค่าสุดในภูมิภาค หลังแบงก์ชาติจ่อผ่อนเกณฑ์ลงทุนต่างประเทศ 

วันที่ 27 มิ.ย.2566 ดัชนีหุ้นไทยพยายามตีบวก ขึ้นไปสูงสุดแตะ 1,495.67 จุด ก่อนถูกขายทำกำไร กดดัชนีปิดที่จุดต่ำสุดของวันที่ระดับ 1,478.10 จุด ติดลบ 7.22 จุดหรือ -0.49% มูลค่าการซื้อขายรวม 34,786.39 ล้านบาท เกิดจากฝีมือนักลงทุนต่างชาติขายต่อ 1,729 ล้านบาท รายย่อยซื้อสู้ 1,676.92 ล้านบาท  นอกจากนี้นักลงทุนต่างชาติยังขายตราสารหนี้  3,434 ล้านบาท แม้ว่ากระทรวงพาณิชย์รายงานยอดส่งออกเดือนพ.ค.2566 มีมูลค่า 24,340 ล้านดอลลาร์ ลดลง 4.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ดีกว่าที่ตลาดคาดว่าจะหดตัว 8-10% ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 26,190 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ในเดือน พ.ค.ไทยขาดดุลการค้า 1,849 ล้านดอลลาร์ ส่วนนักท่องเที่ยวเข้ามาทั้งสิ้น 12,464,812 คน สร้างรายได้จากการใช้จ่ายแล้ว 514,237 ล้านบาท

ด้านค่าเงินบาท ปิด 35.29 อ่อนค่าสุดในภูมิภาค หลังจากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)เตรียมผ่อนเกณฑ์การโอนเงินออกนอกประเทศให้คล่องตัวขึ้น เช่น ขยายวงเงินเพื่อวัตถุประสงค์ให้เปล่าจาก 50,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 200,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ และการขยายวงเงินลงทุนหลักทรัพย์ต่างประเทศของนักลงทุนราย
ย่อยไม่ผ่านตัวแทน จาก 5 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็น 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มองว่าตลาดยังคงปรับตัวลง โดยบล.ทิสโก้คาดแย่ที่สุดจะเกิดขึ้นในไตรมาสที่ 3 บริเวณ 1,450 จุด แนะนำให้รอซื้อ เพื่อขายในไตรมาสที่ 4 เป้าหมาย 1,496 จุด ดังนั้นจึงแนะนำให้ถือเงินสดเพิ่ม และติดตามสถานการณ์การเมือง

ปัจจุบันดัชนีลดลงต่ำกว่าเป้าหมายปลายปีที่ 1,496 จุดแล้ว สอดคล้องกับ non-consensus ที่คาดของเราว่า SET จะอยู่ใต้แรงกดดันในระยะเวลาอันใกล้จาก 1) เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว 2) อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่สูงกว่าที่คาดและ 3) ความไม่แน่นอนทางการเมืองที่เพิ่มขึ้น การพัฒนาล่าสุดช่วยยืนยันมุมมอง แม้ว่าคณะกรรมการเลือกตั้งได้รับรองผลการเลือกตั้งเร็วกว่าที่คาด มีความเป็นไปได้สูงสถานการณ์ที่พรรคก้าวไกลจะไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเพียงพอจากวุฒิสภาในการเลือกตั้งมากพอให้แต่งตั้งคุณพิธา ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ถ้าในสถานการณ์นี้ วันที่ลงคะแนนเสียงนายกรัฐมนตรี (คาด 10-14 ก.ค.) จะทำให้เกิดแรงเทขายอีกครั้งโดยเฉพาะจากนักลงทุนต่างชาติ

“ล่าสุดได้สำรวจตลาดจากมากกว่า 17 กองทุนรวมในประเทศ และประเด็นสำคัญมองตรงกันว่าตลาดอยู่ในช่วงขาลง เมื่อเราเผยแนวโน้มไตรมาสที่ 3 คาดว่าจะมีการเห็นต่างอย่างมากจากกองทุนรวมในประเทศเนื่องจาก SET พึ่งเด้งกลับมาจาก 1,490 เป็น 1,560  ขับเคลื่อนมาจากยอดซื้อสุทธิของกองทุนรวมในประเทศ  บางกองทุนมอง downside ที่จำกัดสำหรับราคาน้ำมันดิบ และแสดงความสนใจในการรวบรวมหุ้นกลุ่มพลังงานในระดับปัจจุบัน ด้านหุ้นกลุ่มธนาคาร ขณะนี้ดูเหมือนจะเป็นจุดปลอดภัย เนื่องจากความเสี่ยงด้าน upside ของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ถ้าหากความไม่แน่นอนทางการเมืองบานปลายสู่การประท้วง หุ้นที่เกี่ยวข้องอย่างกลุ่มการ
ท่องเที่ยวจะได้รับผลกระทบ โดยเฉพาะหุ้นบางตัวที่มีมูลค่าสูง”บล.ทิสโก้ระบุ

ส่วนบล.โกเบล็ก มองหุ้นครึ่งปีหลัง มองกรณีดีที่สุด  ดัชนีเคลื่อนไหวในช่วง 1,600-1,700 จุด กรณีกลางอยู่ที่ 1,500-1,600 จุดและ กรณีแย่สุด 1,400-1,500  จุด
ภายใต้ 3 สถานการณ์กดดัน คือการเมือง-การจัดตั้งรัฐบาล นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ และสงครามการค้าระหว่างจีน-สหรัฐ แนะนำซื้อหุ้น 12 ตัวใน4 ธีมเด่น

ในทางกลับกัน บล.กรุงศรีคาดว่าสถานการณ์ทุกอย่างจะดีขึ้น ส่งผลให้หุ้นปรับขึ้นได้ในอีกไม่กี่เดือน ให้เป้าหมาย 1,680 จุด

ด้านนายสรพล วีระเมธีกุล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้มีแรงรีบาวด์ขึ้นได้บ้างระหว่างเทรดหลังจากที่ดัชนีฯปรับตัวลงไปราว 70 จุด แต่ก็ยังไม่ผ่าน 1,500 จุด เนื่องจากตลาดเข้าเขต Oversold และผู้นำของจีน ได้ออกมายืนยันเศรษฐกิจของจีนปีนี้จะเติบโต 5% และในไตรมาส 2/66 ก็ยังเติบโตได้ดีกว่าไตรมาส 1/66 ทำให้หุ้นรีบาวด์ได้บ้าง แต่ตลาดก็ยังเผชิญกับหลายปัจจัยมากระทบ  เช่น การตั้งรัฐบาลที่อาจล่าช้าไปบ้าง ถ้ายังไม่สามารถเลือกคนที่จะมาดำรงตำแหน่งประธานสภา และนายกรัฐมนตรี ได้ในรอบแรก

ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย และตลาดในยุโรปที่เทรดบ่ายนี้ต่างเคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ พร้อมให้ติดตามตัวเลข GDP ของสหรัฐ และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานของสหรัฐ

แนวโน้มการลงทุนในวันพรุ่งนี้ (28 มิ.ย.) ตลาดยังมีโอกาสรีบาวด์ขึ้นทดสอบ 1,500 จุดได้ แต่คาดว่าจะยังยืนไม่ได้ โดยให้แนวรับ 1,490 จุด แนวต้าน 1,505-1,500 จุด