“กอบศักดิ์” ชวนทยอยซื้อหุ้นได้แล้ว “บอนด์-ทอง” ไม่รีบ บิตคอยน์มีติดพอร์ต

HoonSmart.com>>”กอบศักดิ์” กล่าวปาฐกถาพิเศษงานเปิดตัว “บลน. เวลธ์ คอนเซปท์” มองวิกฤตเป็นโอกาสลงทุนใน 5 สินทรัพย์ ดักทางเศรษฐกิจโลกถดถอย แต่ติดลบไม่ลึก ดอกเบี้ย-เงินเฟ้อใกล้พีค แนะทยอยซื้อหุ้นต่างประเทศที่ปักหัวลงแรงปีก่อน ถือ 1-2 ปี รอเวลาเด้งกลับแรง หุ้นไทยต้องเลือกรายตัวที่โตดี ส่วนพันธบัตร น่าสนใจจากปีก่อนเสียหาย 22% มีโอกาสดีดกลับแรง 22% คาดเฟดจะคงดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 3-4 ไตรมาสก่อนจะลดลง  ทองคำราคายังสูง ถ้าสหรัฐ-จีนทะเลาะกัน ราคาจะดีดขึ้น “บิตคอยน์” ควรมีไว้ในพอร์ตเพื่อเรียนรู้ คาดดอกเบี้ยเงินฝากพีค 3 เดือนข้างหน้า

บริษัท หลักทรัพย์นายหน้าซื้อขายหน่วยลงทุน (บลน.) เวลธ์ คอนเซปท์ จัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการ หลังจากเปิดดำเนินงานมา 6 เดือน โดยมีนาย กอบศักดิ์ ภูตระกูล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) และประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย หรือ FETCO กล่าวปาฐกถาพิเศษเรื่อง” โลกเผชิญหน้าเศรษฐกิจถดถอย อัตราดอกเบี้ยสูง เราจะบริหารเงินอย่างไรดี” ที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย วันที่ 12 มิ.ย.2566

นายกอบศักดิ์กล่าวว่า การลงทุนในช่วงนี้ไม่ง่าย แต่ราคาสินทรัพย์ที่ปรับตัวลงแรงในปีที่ผ่านมา และวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้นผ่านมา 1 ปีครึ่ง  อยู่ในช่วงกึ่งกลางของปัญหาทั้งหมด 3 ปี มองเป็นโอกาสมากขึ้นสำหรับการลงทุนระยะต่อไปข้างหน้า  หลังจากได้บทเรียนในอดีต เช่น ดัชนีดาวโจนส์ ดัชนีแนสแด็ก เมื่อปรับตัวลงไปลึกก็จะดีดกลับขึ้นแรง สิ่งที่น่าสนใจ คือ การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ใกล้ถึงจุดจบแล้ว ปัจจุบันดอกเบี้ยอยู่ในกรอบ 6% สูงที่สุดในรอบ 2 ปี และพร้อมที่จะหยุดขึ้นดอกเบี้ย เมื่อเห็นว่าตัวเลขต่างๆ ได้แก่ แนวโน้มเงินเฟ้อลดลง, ตัวเลขแรงงานตึงตัว  และภาวะสินเชื่อตึงตัว (Credit Tightening) เป็นต้น

นอกจากนี้ เศรษฐกิจโลกกำลังจะเข้าสู่ช่วงที่ท้าทาย หรือภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) สหรัฐหลีกเลี่ยงไม่ได้ คาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 4/2566 หรือไตรมาส 1/2567 แต่มองว่าไม่ได้แย่มาก ติดลบไม่ลึก แต่ก็จะกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐ ทำให้ต้องมีการปรับประมาณการการเติบโตกันอีกครั้ง รวมถึงประเทศจีน ในช่วงที่ผ่านมาตัวเลขการผลิต (PMI) ก็ปรับตัวลดลง รวมถึงการส่งออกที่ติดลบ  ส่วนเกาหลีใต้ที่เคยเติบโต 15-20% ก็ติดลบ 14% มาเลเซีย ติดลบ 17% อินโดนีเซีย ร่วงติดลบ 29% ส่งผลกดดันต่อหุ้นกลุ่มส่งออก

อย่างไรก็ตามคาดเฟดจะคงดอกเบี้ยยาวนานอย่างน้อย 3-4 ไตรมาส ต่างจากตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 3 เดือน ก่อนที่จะลดดอกเบี้ย  น่าจะเห็นความชัดเจนได้ในช่วงกลางปี 2567 ซึ่งเป็นผลดีอย่างมีนัยสำคัญต่อการลงทุนในตลาดพันธบัตรรัฐบาล เห็นได้จากพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 2 ปีเพิ่มขึ้น 0.8% ในช่วง 1 เดือน ขณะที่เมื่อดอกเบี้ยยังอยู่ในระดับสูง ค่าเงินดอลลาร์ก็จะกลับมาแข็งค่า กดดันต่อค่าเงินสกุลอื่นๆ  เช่น  เงินเยน ซึ่งรวมถึงค่าเงินบาทด้วย

“ช่วงนี้เป็นช่วงที่ดีที่สุดในช่วงหลายปีที่ลงทุนมา  มองวิกฤตให้ทะลุ ทุกครั้งที่เข้าสู่  Bear market เป็นโอกาสในการทยอยซื้อหุ้น  แต่ไม่จำเป็นต้องทุ่มลงทุนทั้งหมด  หากรอให้เศรษฐกิจถดถอยก่อนก็จะไม่ทัน ไม่มีใครซื้อหุ้นได้ต่ำสุด เฟดขึ้นดอกเบี้ยใกล้จบแล้ว เงินเฟ้อสูงก็จะจบแล้ว เศรษฐกิจถดถอยเกิดขึ้นแน่ แต่ไม่ลึก เน้นหุ้นต่างประเทศที่ปีก่อนร่วงลงแรง 20-30%  ก็จะเป็นโอกาสในการกลับมาสู่อนาคต รวมถึงหุ้นจีน ญี่ปุ่น และ เยอรมนี ส่วนหุ้นไทยปีก่อนบวกเล็กน้อย 0.67%  เป็นหลุมหลบภัยตอนนี้ลงไม่แปลกใจ  และยังมีประเด็นการเมืองเข้ามากดดันเพิ่ม  ดังนั้นการซื้อหุ้นจะต้องเลือกรายตัวที่มีผลการดำเนินงานดีเก็บไว้ได้ มองเป็นช่วงที่น่าสนใจที่สุด แต่ไม่ใช่เวลาเทรดดิ้ง ถือไว้ 2-3 ปีถึงจะได้ผลตอบแทนที่ดี ” นายกอบศักดิ์กล่าว

ส่วนการลงทุนในพันธบัตร ได้ประโยชน์จากเงินเฟ้อที่เริ่มลดลง เฟดคงอัตราดอกเบี้ยก็จะเป็นเป้าหมายต่อไป ก่อนที่จะลดดอกเบี้ย หรือน่าจะเห็นความชัดเจนได้ในช่วงกลางปีหน้า ซึ่งพันธบัตรน่าสนใจอย่างยิ่ง ปีก่อนเสียหาย 22% ก็จะมีโอกาสดีดกลับแรง 22% เช่นเดียวกัน

นายกอบศักดิ์กล่าวว่า ปกติไม่ได้ลงทุนในทองคำ ปัจจุบันราคาค่อนข้างสูง สามารถทำนิวไฮได้ในช่วงที่เกิดวิกฤต ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เช่นในช่วงการเกิดโควิด-19, สงครามยูเครน-รัสเซีย และล่าสุดช่วงแบงก์สหรัฐล้ม ราคาขึ้นพีค 3 พีค ตอนนี้อ่อนตัวลง จะมีโอกาสลงทุนเมื่อสหรัฐและจีนทะเลาะกัน ถ้าจีนจะสู้ ก็จะลงทุนในสินทรัพย์ที่ไม่ได้อยู่ในสหรัฐ ปัจจุบันกำลังซื้อทองคำ

ด้านบิตคอยน์ (BTC) อยู่ในช่วงของการเผชิญวิกฤต ราคาลดลง เชื่อฝ่ายกำกับดูแลจะเข้ามาดูแล ให้สินทรัพย์นี้คงอยู่ต่อไปได้ ดังนั้นควรมีไว้ในพอร์ตบ้าง เล่นบ้างเพื่อได้เรียนรู้ และมีโอกาสกลับมาได้

นายกอบศักดิ์กล่าวถึงเงินฝากว่า คาดว่าดอกเบี้ยจะขึ้นพีคไตรมาสที่ 3 ปัจจุบันดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่  2% สูงกว่าในช่วงก่อนโควิด ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจจะขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.25%   ในการประชุมวันที่ 2 ส.ค. ก่อนจะเข้าสู่ช่วงคับขันของเศรษฐกิจโลก

” อยากให้คิดว่าไม่มีใครซื้อได้ที่จุดต่ำสุด แต่ควรซื้อในราคาที่พอใจ ช่วงนี้ไม่ใช่ช่วงของการเทรดดิ้ง แต่เป็นการซื้อและถือไว้ 2-3 ปี  ในหุ้นที่เหมาะสม  ส่วนหุ้นไทยไม่ได้มองหุ้นทั้งหมด  อาจจะมีบางตัว บางอุตสาหกรรมขึ้นไปได้ เหมาะสำหรับถือลงทุน ก็จะเห็นการรีเทิร์นกลับมาได้ ” นายกอบศักดิ์กล่าว