EXIM BANK จับมือ NEXI ปิดจุดเสี่ยงนักธุรกิจไทย-ญี่ปุ่น

HoonSmart.com>>ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK)ร่วมมือกับองค์กรรับประกันแห่งประเทศญี่ปุ่น (Nippon Export and Investment Insurance -NEXI) ให้ความรู้ โอกาส และเครื่องมือทางการเงิน ทั้งสินเชื่อ และเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง ให้ผู้ประกอบการไทยและญี่ปุ่นในการบุกตลาดลุ่มน้ำโขง

นายพสุ โลหารชุน ประธานกรรมการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) พร้อมด้วยนายโอบะ ยูอิจิ อุปทูตรักษาสถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย เป็นประธานในพิธีเปิดงานสัมมนา “EXIM Thailand and NEXI Collaboration: A New Chapter Begins” จัดโดย EXIM BANK ร่วมกับองค์กรรับประกันแห่งประเทศญี่ปุ่น (Nippon Export and Investment Insurance : NEXI) เพื่อสนับสนุนความรู้ โอกาส และเครื่องมือทางการเงิน ทั้งสินเชื่อ และเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง เพื่อ จะร่วมกันสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยและญี่ปุ่น เข้าถึงโอกาสใหม่ ๆ ด้านการค้าและการลงทุนในกลุ่มประเทศลุ่มแม่น้ำโขง

ประธานกรรมการ EXIM BANK เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง โดยเฉพาะ สปป.ลาว กัมพูชา และเวียดนาม เป็นตลาดใหม่ (New Frontiers) ที่มีศักยภาพสูงด้านการค้าและการลงทุน ด้วยอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากความพร้อมในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะแรงงานราคาถูก ทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ จำนวนผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น การขยายตัวของชุมชนเมืองและการพัฒนาอุตสาหกรรม เสถียรภาพทางการเมือง และข้อตกลงการค้าเสรีระดับทวิภาคีและพหุภาคี ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ดึงดูดผู้ประกอบการจากประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก ให้หลั่งไหลเข้าไปลงทุนเพื่อการพัฒนาประเทศ รวมถึงใช้ประเทศเหล่านี้เป็นฐานการผลิตสินค้าและดำเนินธุรกิจบริการ รองรับการอุปโภคบริโภคภายในประเทศและส่งออกไปยังประเทศที่สาม อาทิ จีนและอินเดีย โดยมีผู้ประกอบการไทยและญี่ปุ่น เป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่เข้าไปเติมเต็ม และเชื่อมโยงกับ Supply Chain การค้าโลก

ด้านนายรักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า EXIM BANK เป็นมากกว่า ธนาคาร ธุรกิจที่ให้บริการไม่ได้มีเพียงการให้สินเชื่อ เงินทุนเท่านั้น ก้าวใหม่ความร่วมมือระหว่าง EXIM BANK และ NEXI ในโลกการค้ายุคใหม่ มุ่งเน้นการแลกเปลี่ยนข้อมูล และความร่วมมือในการพัฒนาเครื่องมือทางการเงิน ทั้งบริการประกันการส่งออกและการลงทุน และการรับประกันต่อ เพื่อคุ้มครองความเสี่ยงทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศให้แก่ผู้ประกอบการไทยและญี่ปุ่น ขยายผลสู่การขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศในภูมิภาคเอเชียร่วมกันครอบคลุมการยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชน การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภค การพัฒนาทักษะและฝีมือแรงงาน ตลอดจนการถ่ายทอดและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และเทคโนโลยี

“ทั้ง 2 หน่วยงาน จะส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบการไทยและญี่ปุ่นมีความพร้อมที่จะเริ่มต้นหรือขยายธุรกิจระหว่างประเทศได้มากขึ้นอย่างมั่นใจ โดยเฉพาะในตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ อาทิ ประเทศในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงซึ่งมีความคุ้นเคยกับวัฒนธรรมและพฤติกรรมผู้บริโภคในเอเชียที่คล้ายคลึงกัน EXIM BANK จะใช้ความรู้ความเชี่ยวชาญของธนาคารในการส่งเสริมการส่งออกและการลงทุน โดยการเติมความรู้ โอกาสทางธุรกิจ และเงินทุน ตลอดจนเครื่องมือบริหารความเสี่ยงทางการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ”นายรักษ์กล่าว

จากการคาดการณ์ขององค์กรรับประกันชั้นนำของโลก โควิด-19 และสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครน ได้ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ ทำให้ธุรกิจล้มละลายเพิ่มสูงขึ้นกว่า 14% จากปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบธุรกิจการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะ SMEs ซึ่งมีอำนาจการต่อรองต่ำและเงินทุนหมุนเวียนไม่มากนัก จึงควรต้องบริหารความเสี่ยงจากการไม่ได้รับชำระเงินค่าสินค้า โดยกระจายตลาดส่งออกไปยังตลาดที่ยังเติบโตหรือมีกำลังซื้อสูง เช่น ตลาดใหม่ในอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง เอเชียใต้ เป็นต้น และใช้เครื่องมือทางการเงินในการบริหารจัดการความเสี่ยงดังกล่าว

ทั้งนี้ EXIM BANK ได้ดำเนินธุรกิจให้บริการประกันการส่งออก ตั้งแต่เปิดดำเนินงานอย่างเป็นทางการในปี 2537 มีปริมาณธุรกิจรับประกันการส่งออกสะสมจำนวน 1.82 ล้านล้านบาท ยอดจ่ายค่าสินไหมทดแทนจำนวนรวมประมาณ 1,400 ล้านบาท โดย 76% เกิดจากกรณีผู้ซื้อในต่างประเทศปฏิเสธการชำระเงินค่าสินค้า รองลงมาประมาณ 23% เกิดจากผู้ซื้อล้มละลาย และอีก 1% เกิดจากผู้ซื้อปฏิเสธการรับมอบสินค้า ประเทศที่มีมูลค่ายื่นขอรับสินไหมทดแทนสูงสุด ได้แก่ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ สหรัฐอเมริกา และสิงคโปร์ สินค้าที่มีการจ่ายค่าสินไหมทดแทนสูงสุด ได้แก่ ข้าว อัญมณีและเครื่องประดับ และอะลูมิเนียม นอกจากนี้ EXIM BANK ยังเป็นที่ปรึกษาทางการเงินในการให้คำปรึกษาว่าควรจะซื้อป้องกันความเสี่ยงเท่าไรดี

“ความร่วมมือกับ NEXI ในครั้งนี้ เป็นอีกหนึ่งภารกิจของ EXIM BANK ที่มุ่งดำเนินบทบาทธนาคารเพื่อการพัฒนา โดยขยายความร่วมมือกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ ติดอาวุธให้ผู้ประกอบการไทย ทั้งทุกระดับ รวมถึง SME sสามารถพัฒนาเป็นนักรบเศรษฐกิจในตลาดโลกได้มากขึ้น โดยไม่ต้องรับความเสี่ยงทั้ง 100% ขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งในระดับประเทศ และระดับภูมิภาคเอเชีย ทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม โดย EXIM BANK มีสำนักงานที่เวียงจันทน์ที่สปป.ลาว ส่วน NEXI เก่งมากในตลาดแอฟริกา ” นายรักษ์กล่าว

นายอัตสึโอะ คุโรดะ ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร NEXI กล่าวว่า NEXI เป็นแรงสำคัญให้อุตสาหกรรมญี่ปุ่นออกไปขยายการลงทุนในต่างประเทศ ที่ผ่านมาได้ค้ำประกันมูลค่า 14.3 ล้านล้านเยน หากส่งออกไปแล้วไม่ได้รับเงิน ทั้งที่เกิดจากความเสี่ยงทางการเมือง ภัยพิบัติทางธรรมชาติรวมถึงโรคระบาด อย่างที่เกิดโควิดขึ้นมา แต่จะไม่ให้ความคุ้มครองที่เกิดจากความเสี่ยงในการบริหารงานไม่ถูกต้อง

อย่างไรก็ตาม บริษัทลูกของญี่ปุ่นในไทย ที่ส่งออกไปขายยังต่างประเทศได้ NEXI ไม่สามารถให้ความคุ้มครองได้ จึงร่วมมือกับ EXIM BANK ในการรับประกันภัยต่อ เพื่อให้ธุรกิจต่อหน้าต่อไปได้ หากได้รับความเสียหาย และประเทศไทยเป็นศูนย์กลางซัพพลายเชน ทั้งนี้มี 76 ประเทศที่มีความเสี่ยงสูงขึ้นมา

นายจุนนิชิโระ คุโรดะ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศของญี่ปุ่น สำนักงานกรุงเทพ(JETRO) กล่าวว่า ปัจจุบันมีบริษัทญี่ปุ่นในประเทศไทยประมาณ 6,000 แห่ง ซึ่งการส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอ ก็เป็นบริษัทญี่ปุ่นสูงเป็นอันดับหนึ่ง ตามด้วย จีนและอินโดนีเซีย ที่ผ่านมาการลงทุนมีการแข่งขันสูงขึ้น ทั้งจากบริษัทญี่ปุ่นที่เข้ามาลงทุน รวมถึงบริษัทท้องถิ่นในไทย ไต้หวันก็เข้ามาลงทุน รวมถึงต้นทุนสูงขึ้น ทั้งด้านพลังงาน วัตถุดิบ โลจิสติกส์ และแรงงาน ซึ่งไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะที่ประเทศไทยเท่านั้น ปัจจุบันไทยมีค่าแรงสูงเป็นอันดับที่สาม ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงนโยบายในการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่จะเกิดขึ้นในอนาคต