โบรกฯแนะ NER หุ้นปันผลสูง 6% คาดผ่านจุดต่ำสุดแล้ว

HoonSmart.com>>5 โบรกเกอร์ฟันธง”นอร์ทอีส รับเบอร์(NER)”ผ่านจุดต่ำสุดแล้วไตรมาสแรก ราคาหุ้นลงลึกสะท้อนภาพอ่อนแอ มองเป็นโอกาสซื้อสะสม  แนวโน้มผลงานดีขึ้น ชูจุดเด่นผลตอบแทนปันผลสูง 6-7% 

บล.หยวนต้า (ประเทศไทย)วิเคราะหุ้นบริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์(NER)  คาดกำไรปกติในไตรมาสแรก คือจุดต่ำสุดของปี และผ่านจุด Bottom ของอุตสาหกรรมไปแล้วคาดเริ่มเห็นการฟื้นตัวและปริมาณขายไม่น้อยกว่า 5% ในไตรมาสที่ 2 (QoQ)  ซึ่งอาจทำให้ GPM กลับมาที่ระดับ 10% ได้  คาดว่าปริมาณฝนในปีนี้จะน้อยกว่าปกติทำให้น้ำยางออกสู่ตลาดน้อยกว่าปกติได้ ขณะที่การชะลอตัวของเศรษฐกิจฝั่งประเทศตะวันตก กระทบต่ออุปสงค์จากลูกค้าของ NER ค่อนข้างจำกัด

ปัจจุบันราคาหุ้นซื้อขายที่ P/ER2566 เพียง 5.8 เท่า และคาดเงินปันผลสำหรับปี 2566 ที่ 0.35บาท ให้อัตราผลตอบแทน 6.9% สะท้อนว่าราคาตลาดตอบสนองต่อแนวโน้มกำไรไตรมาสแรกไปมากแล้ว ขณะที่ผ่านจุดต่ำสุดและฟื้นตัวขึ้นรายไตรมาส เป็นโอกาสสะสม คงประมาณการ คงราคาเป้าหมายที่ 7.10 บาท คงคำแนะนำ ซื้อ

ด้านบล.ยูโอบี เคย์ เฮียน (ประเทศไทย)ปรับลดกำไรปี 2566-2567 ลง 31% และ 28% เพื่อสะท้อนความเสี่ยงราคายาง , GPM และธุรกิจแผ่นยาง ที่มีแนวโน้มอ่อนแอกว่าที่คาดเดิม โดยประมาณการปัจจุบันยังไม่รวมผลจากการขยายกำลังการผลิตใหม่ในปี 2567 เข้ามาภาพรวมระยะสั้นแนวโน้มกำไรอาจโดดเด่นน้อยลง แต่ยังชดเชยได้จากอัตราผลตอบแทนปันผลที่สูงราว 6% ต่อปี จึงยังคงแนะนำ ซื้อ

บล.พายมองแนวโน้มในช่วงไตรมาสที่ 2 คาดว่าปริมาณขายจะดีขึ้นหลังความต้องการยางจากจีนยังมีอยู่มาก รวมถึงราคาที่ค่อยๆปรับตัวดีขึ้น แต่ความเสี่ยงคือผลกระทบจากภัยแล้งที่อาจจะทำให้ปริมาณยางพาราในภาคอีสานน้อยกว่าที่ประเมินไว้  ทำให้การขยายโรงงานใหม่ของ NER ยังอยู่ระหว่างการติดตามผลกระทบดังกล่าวอยู่ทั้งนี้ปรับกำไรในปี 2566 ลดลงจากเดิม 16% เหลือ 1,640 ล้านบาท  (-6%YoY) แต่ด้วยอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่ยังดีอยู่ในระดับ 6-7%จึงแนะนำ “ซื้อ” เช่นเดิม

บล.อินโนเวสท์ เอกซ์มองว่า แม้ปี 2566 ปริมาณขายยางจะมีแนวโน้มเติบโต YoY ตามอุปสงค์ที่ปรับตัวดีขึ้นจากการเปิดประเทศของจีนและความต้องการยางรถ EV รวมทั้งการขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ แต่กําไรปกติในไตรมาสแรกคิดเป็นเพียง 16% ของประมาณการทั้งปีซึ่งต่ำเกินไปมาก เนื่องจากศักยภาพทํากําไรแย่กว่าคาดมากจากราคาขายที่ฟื้นตัวช้ากว่าคาดมาก เพื่อสะท้อนปัจจัยลบและยึดหลักระมัดระวัง จึงปรับลดประมาณการกําไรปี 2566 ลงจากเดิม 16% คงเหลือกําไรปกติ 1,625 ล้านบาท หดตัว 12%YoY

กรอบราคาเป้าหมายใหม่ปี 2566 อยู่ที่หุ้นละ 4.80-5.30 บาท (อิงค่าเฉลี่ย PER เดิมที่ 5.5-6.0 เท่า) พบว่าไม่มี Upside ที่น่าสนใจแล้ว เมื่อบวกกับไตรมาสที่ 2 คาดกําไรปกติยังมีแนวโน้มลดลง YoY ตามราคาขายยางเฉลี่ยที่ลดลง ทําให้ขาดปัจจัยกระตุ้นการปรับขึ้นของราคาหุ้นในช่วงสั้นนี้ ดังนั้นกลยุทธ์ลงทุนจึงคงแนะนํา “ขายหรือหลีกเลี่ยงการลงทุนไปก่อน”

บล.โกลเบล็กมีมุมมองเป็นกลางต่อผลประกอบการไตรมาสแรกและแนวโน้มทั้งปี 2566 ปัจจัยเสี่ยงของปีนี้มาจากปัญหาด้านอุปทานยางที่คาดจะตึงตัว จากปรากฏณ์เอลนีโญที่ทำให้แนวโน้มปริมาณน้ำฝนต่ำกว่าระดับค่าเฉลี่ย 5% ในรอบ 20 ปี ส่วนราคายางคาดผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและมีแนวโน้มปรับดีขึ้นอีก 4-5% ในช่วงที่เหลือของปีนี้ จากความต้องการยางที่ยังเติบโตดีจากการที่จีนเปิดประเทศและเทรนด์ของ EV Car โดยผู้บริหารคงเป้าปริมาณขายทั้งปี 2566 ที่ราว 5 แสนตัน +12%YoY แต่คาด GPM ทรงตัวที่ระดับ 10% ต่ำกว่าปี 2565 อยู่ที่ระดับ 12% จากแนวโน้มราคาขายที่ทรงตัวในระดับต่ำ โดย Bloomberg Consensus คาดกำไรปี 2566 ราว 1,968 ล้านบาท  +13%YoY และราคาเหมาะสม 7.80 บาท (อาจถูก Revised down จากการประชุมฯล่าสุด) อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นปรับตัวลง 20%YTD สะท้อนผลประกอบการที่อ่อนแอไปแล้ว และปัจจุบันซื้อขายที่ PE 5.9 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มที่ 9เท่า ) แนะนำ “ซื้อ”