MFC จ่อขายกองทุนบิทคอยน์ เพิ่มโอกาสลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล

HoonSmart.com>> บลจ.เอ็มเอฟซี (MFC) เตรียมเปิดตัว “กองทุนบิทคอยน์” โอกาสลงทุนเงินสกุลดิจิทัลโดยตรง ผ่านกองทุน ETF ต่างประเทศ มองแนวโน้มราคาบิทคอยน์มีโอกาสเติบโตจากเม็ดเงินไหลเข้าลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัลเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากกลุ่ม Gen ใหม่ ชูอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับกลุ่มที่เน้นลงทุน มากกว่าเทรดระหว่างวัน

เชาวน์กร โชติบัณฑ์

นายเชาวน์กร โชติบัณฑ์ Head of Investment Strategy บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี (MFC) เปิดเผยว่า บลจ.เอ็มเอฟซี ได้ยื่นขอจัดตั้งกองทุนรวม Bitcoin ETF ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท เพื่อเปิดโอกาสให้นักลงทุนได้เข้าลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) สกุลเงินดิจิทัลบิทคอยน์ ในสัดส่วน 100% โดยกองทุนจะลงทุนผ่านกองทุน Bitcoin ETF ในต่างประเทศเพียงกองทุนเดียว ซึ่งเปิดขายให้แก่นักลงทุนรายใหญ่พิเศษ (Ultra High Net Worth) ตามคำนิยามที่ก.ล.ต.กำหนดเท่านั้ เนื่องจากกองทุนบิทคอยน์ ถือเป็นกองทุนที่มีความซับซ้อนและมีระดับความเสี่ยงสูง 8+ มีการลงทุนกระจุกตัวในสินทรัพย์ จึงไม่สามารถเปิดขายให้แก่นักลงทุนทั่วไปได้

“เรามองบิทคอยน์ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและเป็นโอกาสของสินทรัพย์ดิจิทัลที่ยังเติบโตได้ เมื่อเทียบกับสินทรัพย์ประเภทอื่นๆทั่วโลก ทั้งอสังหาริมทรัพย์ หุ้น ตราสารหนี้ ซึ่งมีมูลค่าตลาดรวม (Market Cap) 700 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่มาร์เก็ตแคปของบิทคอยน์อยู่ที่ 1.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ มีสัดส่วนเพียง 0.2-0.3% เท่านั้น ยังมีขนาดเล็กมากเมื่อเทียบสินทรัพย์อื่นๆ”นายเชาวน์กร กล่าว

ขณะเดียวกันบิทคอยน์อาจเทียบกับสินทรัพย์ในปัจจุบันคือทองคำ เพราะมีอัตราแลกเปลี่ยนมาเกี่ยวข้อง อีกทั้งซัพพลายค่อนข้างจำกัด ขณะที่มาร์เก็คแคปของทองปัจจุบันอยู่ที่ 14 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อเทียบบิทคอยน์อยู่ที่ 1.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เท่านั้น ซึ่งต่างกัน 10 เท่า แต่ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้ ต่างจากบิทคอยน์ที่อยู่ในดิจิทัล แต่จากซัพพลายของบิทคอยน์ที่มีจำกัด 21 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่างจากเงินสกุลต่างๆที่รัฐบาลสามารถพิมพ์ธนบัตรออกมาเพิ่มได้ จึงมองราคาปัจจุบันที่แถว 7 หมื่นเหรียญสหรัฐฯ มีโอกาสปรับตัวขึ้นได้ในอนาคตจาก Gen ของเด็กรุ่นใหม่ที่จะมีความเชื่อในบิทคอยน์มากกว่ากลุ่มคน Baby Boomer ทำให้มีโอกาสเติบโตจากเม็ดเงินลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ซึ่งการเคลื่อนไหวของสินทรัพยืดิจิทัลก็เป็นไปตามดีมานด์ ขณะที่ซัพพลายเองก็มีจำกัด

อย่างไรก็ตามด้านความผันผวนของบิทคอยน์มีสูงมากเช่นกัน หากรัฐบาลหรือทางการในประเทศต่างๆ มีการเข้ามาควบคุมหรือประเด็นอะไรที่อาจส่งผลกระทบต่อราคาบิทคอยน์ หรือราคาปรับตัวขึ้นมากจนเกิดฟองสบู่ โอกาสที่บิทคอยน์จะปรับฐานลงแรงก็มีได้เช่นกัน ดังนั้นการลงทุนในบิทคอยน์จึงถูกออกแบบเพื่อเสนอขายเฉพาะนักลงทุน รายใหญ่พิเศษ (Ultra High Net Worth) ที่มีเงินลงทุนและอาจทนความผันผวนหรือถือลงทุนระยะยาวได้ ซึ่งกองทุนที่เสนอขายนั้นก็กำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท

ขณะเดียวกันบลจ.เอ็มเอฟซี ก็มีทีมให้คำแนะนำการลงทุนแก่ลูกค้า หากต้องการลงทุนเป็นรอบๆ เมื่อราคาปรับตัวขึ้นระดับหนึ่งก็ขาย และอีกกลุ่มที่ถือลงทุนระยะยาว ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่รับได้ของนักลงทุน

สำหรับข้อดีของการลงทุนบิทคอยน์ผ่านกองทุนรวมคือเรื่องของภาษีเงินได้ เพราะหากลงทุนบิทคอยน์เองโดยตรง นักลงทุนจะต้องนำไปคำนวณภาษีเงินได้ หากมีฐานภาษีสูงก็ทำให้เสียภาษีมากและการลงทุนผ่านกองทุนรวม สะดวกรวดเร็วในการลงทุนผ่านแอปพลิเคชั่น รวมทั้งการลงทุนยังมีความปลอดภัย ไม่ต้องกังวลว่าบิทคอยน์จะหายหรือถูกแฮก เพราะการซื้อขายผ่านกองทุนรวม ซึ่งกองทุนหลักที่จะไปลงทุนนั้นมีความมั่นคงสูง ระบบจัดเก็บมีความปลอดภัย อย่างไรก็ตาม แต่การลงทุนผ่านกองทุนรวมจะมีค่าธรรมเนียมการบริหารจัดการกองทุน

“กองทุนรวม Bitcoin ETF ที่ MFC จะเสนอขายนั้น จับกลุ่มนักลงทุนที่เน้นลงทุน ไม่ได้ต้องการเทรดระหว่างวัน จึงขึ้นอยู่กับความต้องการของนักลงทุนเป็นหลัก ซึ่งจากการสำรวจความต้องการของลูกค้ารายใหญ่ก็สนใจลงทุน และไม่อยากเก็บบิทคอยน์ไว้เอง อยากซื้อและถือไว้ เพราะคุ้นชินกับการลงทุนผ่านกองทุนรวมมากกว่า”นายเชาวน์กร กล่าว

สำหรับพอร์ตการลงทุนสำหรับกลุ่มคน Baby Boomer อาจมีน้ำหนักลงทุนในบิทคอยน์ประมาณ 1-3% ของพอร์ตรวม ส่วนเด็กรุ่นใหม่ที่รับความเสี่ยงได้สูงอาจมีน้ำหนักลงทุน 3-5% ของพอร์ตและปัจจุบันก.ล.ต.ยังไม่เปิดให้นักลงทุนทั่วไปลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลได้