KBANK กำไรลด 4% เหลือ 10,741 ลบ.ตั้งสำรองเพิ่ม ลูกค้ารายใหญ่

HoonSmart.com>>ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดผลงานไตรมาส 1/66  กำไรสุทธิ 10,741 ล้านบาท ลดลง 4.19%จากช่วงเดียวกันปีก่อน รายได้เพิ่มขึ้น แต่มีค่าใช้จ่าย ตั้งสำรองเพิ่มขึ้นรับมือความไม่แน่นอนเศรษฐกิจและยอมรับว่ามีลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่งที่มีคุณภาพหนี้มีสัญญาณความเสื่อมถอย ตั้งสำรองไว้แล้ว ส่งสัญญาณตั้งสำรองเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด  

ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 1 ปี 2566 ยังเผชิญข้อจำกัดในการฟื้นตัว เพราะแม้จะมีแรงหนุนจากการทยอยฟื้นตัวต่อเนื่อง
ของภาคการท่องเที่ยว แต่ภาพรวมการส่งออกสินค้ายังคงลดลงจากผลกระทบของการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ขณะที่การใช้จ่ายของภาคเอกชนยังคงเติบโตในกรอบจำกัด

สําหรับในช่วงที่เหลือของปี 2566 ยังคงต้องติดตามความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกรวมถึงผลกระทบจากการเร่งปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในช่วงที่ผ่านมาโดยเฉพาะในสหรัฐฯ ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย สถานการณ์ดังกล่าวย่อมมีผลกระทบและเพิ่มแรงกดดันต่อภาคการส่งออกของไทย ทำให้ภาพรวมการส่งออกในปีนี้อาจหดตัวลง นอกจากนี้ผลกระทบต่อการใช้จ่ายภายในประเทศจากแรงกดดันด้านต้นทุน ค่าครองชีพ และปัญหาหนี้ครัวเรือนก็ยังคงเป็นปัจจัยที่เพิ่มความ
เปราะบางต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยด้วยเช่นกัน ธนาคารจึงยังคงดำเนินธุรกิจตามหลักความระมัดระวังรอบคอบภายใต้ทิศทางภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอน รวมทั้งยังคงให้ความช่วยเหลืออย่างต่อเนื่องแก่ลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจผ่านช่องทางต่าง ๆ ของธนาคาร

ด้านผลการดำเนินงานในไตรมาส1/2566 ธนาคารมีกำไรสุทธิ 10,741 ล้านบาท ลดลง 4.19%จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนโดยกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและภาษีเงินได้ จำนวน 26,781 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.32% เป็นผลจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งของรายได้จากการดำเนินงานและการบริหารจัดการค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพอย่างสม่ำเสมอ

อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังคงตั้งสำรองหักผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expectedcredit loss : ECL) ตามหลักความระมัดระวังแม้ว่าจะลดลงจากไตรมาส 4/2565 แต่เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากธนาคารมีการบริหารจัดการคุณภาพสินทรัพยเชิงรุกที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกและปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่อาจจะส่งผลต่อลูกค้าบางกลุ่มที่ยังมีความเปราะบาง นอกจากนี้ ในไตรมาส 1 ปี 2566 ธนาคารพบว่ามีลูกค้ารายใหญ่รายหนึ่งที่มีคุณภาพหนี้มีสัญญาณความเสื่อมถอย โดยธนาคารได้มีสํารองหนี้ส่วนนี้ไว้แล้ว แต่ธนาคารอาจพิจารณาความเหมาะสมในการตั้งสำรองเพิ่มเติมให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด

ส่วนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 9.84% สอดคล้องกับภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นและการเติบโตของสินเชื่อใหม่ตามยุทธศาสตร์ของธนาคารโดยอัตราผลตอบแทนสินทรัพย์ที่ก่อให้เกิดรายได้สุทธิ(Net interest margin : NIM) อยู่ที่ระดับ 3.46%แม้ว่าต้นทุนจะเพิ่มขึ้นจากอัตราการนำส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินที่อัตราปกติ 0.46% ส่วนรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 32% หลักๆจากมูลค่ายุติธรรมของเครื่องมือทางการเงินที่วัดมูลค่าด้วยมูลค่ายุติธรรมผ่านกำไรหรือขาดทุนเพิ่มขึ้นตามภาวะตลาดค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆเพิ่มขึ้น 13.82% สอดคล้องกับรายได้ที่เพิ่มขึ้นตามปริมาณธุรกิจ รวมทั้งค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงาน ส่วนหนึ่งจากมาตรการช่วยเหลือค่าครองชีพซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานอื่นๆต่อรายได้จากการดำเนินงานสุทธิ  (Cost to income ratio) อยู่ที่ระดับ 42.50% ใกล้เคียงกับปีก่อน

ด้านผลการดำเนินงานเทียบกับไตรมาสที่ 4/2565 กำไรสุทธิ 10,741 ลา้นบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 7,550 ล้านบาท หลักๆมาจากการลดลงของสำรองฯ โดยมีกำไรจากการดำเนินงานก่อนหักผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและภาษีเงินได้มีจำนวน 26,781ลา้นบาท ลดลงจากไตรมาสก่อน

ธนาคารและบริษัทย่อยมีสินทรัพยรวมจำนวน 4,238,084 ล้านบาทลดลงจากสิ้นปีก่อน จำนวน 8,285  ล้านบาทหรือ  0.20% หลัก ๆ เกิดจากเงินให้สินเชื่อสุทธิลดลง ส่วนหนึ่งจากการดำเนินการบริหารจัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ เช่น การปรับโครงสร้างหนี้ การขายหนี้ การตัดหนี้สูญ เป็นต้น อย่างไรก็ตามเงินให้สินเชื่อใหม่ยังคงเติบโตในกลุ่มลูกค้าตามยุทธศาสตร์ของธนาคาร ทั

ทั้งนี้เงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อ (%NPL gross) อยู่ที่ระดับ  3.04% และค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นต่อเงินให้สินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage ratio) อยู่ที่ระดับ 156.68% สููงขึ้นเมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อนที่ระดับ 154.26% สำหรับอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงของกลุ่มธุรกิจทางการเงินธนาคารกสิกรไทยตามหลกัเกณฑ์Base l III ณ วันที่ 31  มีนาคม 2566ยังคงมีความแข็งแกร่งอยู่ที่ 18.90% โดยมีอตัราส่วนเงินกองทุนขั้นที่ 1 อยู่ที่ 16.92%