“อีสท์สปริง” ชี้จังหวะสะสมหุ้นกลุ่มเติบโต-เทค ได้ประโยชน์ดอกเบี้ยอาจขึ้นจำกัด

HoonSmart.com>> “บลจ.อีสท์สปริง” ชี้สถานการณ์ยังเปราะบาง Fed ขึ้นดอกเบี้ยเพียง 0.25% แต่ไม่ลดดอกเบี้ยปีนี้ ด้านสถานการณ์กลุ่มธนาคาร Fed ไม่กังวล มองโอกาสสะสม “กลุ่มหุ้นเติบโตและเทคโนโลยี” ได้ประโยชน์จากการขึ้นดอกเบี้ยที่อาจจำกัด แนะนำเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในกลุ่มเติบโต อย่าง TMB-ES-GCG , ES-USTECH ร่วมกับหุ้นขนาดใหญ่ปันผลดีอย่าง ES-GDIV

นายบดินทร์ พุทธอินทร์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อีสท์สปริง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงมุมมองการลงทุนหลังธนาคารกลางสหรัฐปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ในการประชุมนโยบายการเงินประจำเดือนมี.ค.2566 และส่งสัญญาณว่ายังไม่เสร็จสิ้นการขึ้นอัตราดอกเบี้ย แม้จะมีความเสี่ยงที่จะทำให้วิกฤติธนาคารรุนแรงขึ้นซึ่งส่งผลกระทบต่อตลาดทั่วโลก โดยคณะกรรมการ Federal Open Market Committee ลงมติเป็นเอกฉันท์ให้เพิ่มเป้าหมายสำหรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของรัฐบาลกลางเป็น 4.75% ถึง 5% ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนก.ย.2550 ซึ่งเป็นช่วงก่อนเกิดวิกฤตการเงิน นับเป็นการชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยเหลือ 0.25% เป็นครั้งที่ 2 หลังจากการปรับขึ้น 0.5% ในเดือนธ.ค. และการปรับขึ้น 0.75% 4 ครั้งก่อนหน้านั้น

คณะกรรมการเฟดคาดการณ์ (ตามรายงาน Fed Dot Plot) ว่าอัตราดอกเบี้ยจะสิ้นสุดในปี 2566 ที่ประมาณ 5.1% ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากค่ากลางจากคาดการณ์ครั้งล่าสุดในเดือนธันวาคม ขณะที่ปี 2567 เพิ่มขึ้นเป็น 4.3% จาก 4.1%

“เรามองว่าเฟดกำลังส่งสัญญาณในเชิง Dovish อยู่เบื้องหลังถึงความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นในภาคธนาคาร แต่ด้วยระดับเงินเฟ้อที่ยังคงสูงและภาคแรงงานที่ร้อนแรง ทำให้เฟดจำเป็นต้องลดความร้อนแรงและมุมมองเชิงบวกที่มากเกินไปของตลาด ทำให้เรามองว่าตลาดอาจกลับเข้าสู่ภาวะผันผวนอีกครั้ง”นายนายบดินทร์ กล่าว

อย่างไรก็ดีเรามองว่าการปรับตัวของตลาดในรอบนี้จะเป็นโอกาสในการเข้าสะสมกลุ่มหุ้นเติบโตและเทคโนโลยีที่รับรู้ความกังวลดอกเบี้ยขาขึ้นค่อนข้างมากและไม่ได้รับผลกระทบจากความวุ่นวายในภาคการเงิน เราแนะนำทยอยสะสมกองทุนหุ้นเติบโตอย่าง TMB-ES-GCG และกองทุนหุ้นเทคโนโลยีอย่าง ES-USTECH ทั้งนี้แนะนำสะสมหุ้นเติบโตร่วมกับกองทุนหุ้นขนาดใหญ่ปันผลดีอย่าง ES-GDIV ซึ่งเป็นกลุ่มกิจการที่นักลงทุนให้ความสนใจในช่วงสถานการณ์เศรษฐกิจไม่แน่นอน และยังช่วยกระจายความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน

ทั้งนี้ มุมมองของ Fed ไม่เปลี่ยนแปลงมากนักและไม่กังวลต่อสถานการณ์กลุ่มธนาคาร เฟดกล่าวว่าระบบธนาคารของสหรัฐนั้น “มั่นคงและยืดหยุ่น” แต่ความวุ่นวายในกลุ่มสถาบันการเงินน่าจะส่งผลให้เกิดภาวะสินเชื่อที่เข้มงวดมากขึ้นสำหรับภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจ จะส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การจ้างงาน และอัตราเงินเฟ้อ ในระดับที่ไม่แน่นอน ซึ่งหากสถานการณ์ย่ำแย่ลงอาจทำให้เฟดไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยตามที่คาด

ในแง่ของเงินเฟ้อ รายงานการประชุมได้นำข้อความที่ระบุว่า “อัตราเงินเฟ้อผ่อนคลายลง” ในการประชุมรอบก่อนออกจากรายงานและแทนที่ด้วย”เงินเฟ้อยังคงสูงอยู่” แต่กล่าวว่า “การเข้มงวดนโยบายการเงินเพิ่มเติมยังอาจเหมาะสม” แทนที่ก่อนหน้านี้ซึ่งกล่าวว่า “อัตราดอกเบี้ยยังจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง“ อย่างไรก็ดีเฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยจนกว่าเงินเฟ้อจะชะลอตัว

ด้านการลดขนาดงบดุลหรือที่เรียกว่า Quantitative Tightening ธนาคารกลางยืนยันยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง โดยปล่อยให้มีเพดานสูงสุดต่อเดือนที่ 6 หมื่นล้านดอลลาร์สำหรับพันธบัตร และ 3.5 หมื่นล้านดอลลาร์สำหรับหลักทรัพย์ค้ำประกัน (mortgage-backed) ที่จะปล่อยให้ตราสารหมดอายุโดยไม่ออกฉบับใหม่มาทดแทน

ตลาดหุ้นตอบรับผลการประชุมในเชิงบวกเนื่องจากเฟดตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่ 0.25% โดยตีความว่าเฟดกำลังกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจมากขึ้นและต้องสิ้นสุดการปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามในเวลาต่อมาตลาดพลิกกลับมาอยู่ในแดนลบหลังจากถ้อยแถลงของผู้ว่าฯ เจอโรม พาวเวลล์ ตอกย้ำว่าหากเฟดจำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยอย่างรุนแรงต่อเพื่อต่อสู้กับเงินเฟ้อ เฟดก็จะทำ และยังไม่เห็นเหตุผลมากพอที่จะต้องปรับลดดอกเบี้ยปลายปีนี้

นอกจากนั้น รมว.คลังอย่างนาง เจเน็ต เยลเลน กล่าวรายงานต่อสภาว่าหน่วยงานไม่มีนโยบายเพิ่มมูลค่าประกันเงินฝาก ส่งผลกระทบในเชิงลบต่อหุ้นกลุ่มธนาคาร ดัชนีตลาดหุ้น S&P 500 และ NASDAQ ทำจุดสูงสุดที่ระดับ 1% ระหว่างวัน ก่อนปิดตลาดปรับตัวลง -1.6% ด้านอัตราผลตอบแทนพันธบัตรในตลาดปรับตัวลง ขณะที่ Terminal Rate ปรับตัวขึ้นไปอยู่ที่ 5.2% ณ สิ้นวันทำการ