HoonSmart.com>> ดัชนีดาวโจนส์ปิดร่วง 280 จุด หรือ -0.87% ดัชนี S&P500 -0.70% ด้าน Nasdaq +0.05% นักลงทุนวิตกวิกฤติภาคธนาคารที่ลุกลามไปยังยุโรป จากกรณีของธนาคารเครดิต สวิส สร้างแรงกดดันกับตลาดในวงกว้าง “ราคาน้ำมันดิบ” WTI ร่วงหนัก 3.72 ดอลลาร์ หรือ -5.2% หลุดต่ำกว่า 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ส่วนใหญ่ปิดดิ่งกว่า 3% จากการทรุดตัวถึง 7% ของหุ้นกลุ่มธนาคาร
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) ปิดวันที่ 15 มีนาคม2566 ปิดที่ 31,874.57 จุด ลดลง 280.83 จุด หรือ 0.87% ด้วยความกังวลเกี่ยวกับวิกฤติภาคธนาคารที่ลุกลามไปยังยุโรป จากกรณีของธนาคารเครดิต สวิส สร้างแรงกดดันกับตลาดในวงกว้าง
ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,891.93 จุด ลดลง 27.36 จุด, -0.70%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 11,434.05 จุด เพิ่มขึ้น 5.90 จุด, +0.05%
นอกจากนี้ข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดแสดงให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวในเดือนกุมภาพันธ์
อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปีลดลงมาที่ 3.49% อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 ปีลดลงมาที่ 3.89%
อย่างไรก็ตามตลาดฟื้นตัวขึ้นเล็กน้อยในช่วงบ่าย หลังธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ FINMA ซึ่งเป็นหน่วยงานกำกับดูแลตลาดการเงินของสวิตเซอร์แลนด์ประกาศจะให้ความช่วยเหลือด้านสภาพคล่องแก่ธนาคารเครดิต สวิส หากจำเป็น ในขณะที่นักลงทุนวิตกเกี่ยวกับฐานะการเงินของธนาคาร หลังจากซาอุดิ เนชั่นแนล แบงก์(Saudi National Bank) ซึ่งเป็นนักลงทุนรายใหญ่ในเครดิต สวิส กล่าวว่า ไม่สามารถให้การสนับสนุนทางการเงินได้มากกว่านี้ เพราะจะทำให้การถือหุ้นเกิน 10% ซึ่งจะผิดหลักกฎ
ทางการสวิตเซอร์แลนด์ได้และธนาคารเครดิตสวิส ได้หารือร่วมกันเพื่อหาแนวทางสร้างเสถียรภาพให้กับธนาคาร จากรายงานข่าวของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก
ในช่วงต้นสัปดาห์นี้เครดิต สวิสได้เปิดเผยว่า พบ “จุดอ่อนที่สำคัญ” ในกระบวนการรายงานทางการเงินสำหรับปี 2022 และ 2021
หุ้นธนาคารเครดิต สวิส ซึ่งมีการซื้อขายที่ตลาดหุ้นนิวยอร์ก ปิดลดลงเกือบ 14% หลังจากช่วงหนึ่งร่วงไปถึง 25%
เอ็ดเวิร์ด โมยา จาก Oanda กล่าววา วิกฤติภาคธนาคารที่เริ่มต้นจากซิลิคอน แวลเลย์ ขยายออกไปทั่วโลก เป็นผลจากโมเดลการทำกำไรอิงกับอัตราดอกเบี้ยต่ำ
ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจที่เผยแพร่เมื่อคืนนี้ ได้แก่ ยอดค้าปลีกเดือนกุมภาพันธ์ที่ลดลง 0.4% ต่ำกว่าการลดลง 0.3% ที่นักวิเคราะห์คาดเล็กน้อย จากที่เพิ่มขึ้น 3.2% ในเดือนมกราคม ส่วนดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ทั่วไปซึ่งรวมหมวดอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้น 4.6% เมื่อเทียบรายปี ชะลอตัวจาก 5.7% ในเดือนมกราคม และดัชนี PPI พื้นฐาน ซึ่งไม่รวมหมวดอาหารและพลังงาน เพิ่มขึ้น 4.4% เมื่อเทียบรายปี
วิกฤติภาคธนาคารและข้อมูลเงินเฟ้อล่าสุดทำให้นักลงทุนตั้งคำถามว่าธนาคารกลางสหัฐ(เฟด)จะปรับดอกเบี้ยขึ้นหรือไม่ในการประชุมสัปดาห์หน้า
ไรอัน สวีท หัวหนาฝ่ายวิเคราะห์เศรษฐกิจจาก Oxford Economics กล่าวว่า แรงกดดันส่วนใหญ่อยู่ที่ธนาคารระดับภูมิภาค ในขณะที่เงินเฟ้อยังสูงกว่ากรอบเป้าหมาย 2% การระงับการขึ้นดอกเบี้ยในช่วงนี้น่าจะเร็วไป ทำให้คาดว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมครั้งนี้ ในขณะที่ยังมีเครื่องมือที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยในการบรรเทาแรงกดดันในระบบธนาคาร
หุ้นธนาคารรายใหญปรับตัวลดลง โดยหุ้นโกลด์แมน แซคส์ ลดลง 3.1% หุ้นเวลส์ ฟาร์โก ลดลง 3.24% หุ้นเจพีมอร์แกน ลดลง 4.7% หุ้นซิตี้กรุ๊ป ลดลง 5.36% หุ้นมอร์แกน สแตนเลย์ ลดลง 4.7%
หุ้นธนาคารระดับภูมิภาคลดลงจากที่ฟื้นตัวเมื่อวานนี้โดย First Republic Bank ลดลง 21.37% หุ้น PacWestลดลง 12.87%
ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ร่วงลงแรง จากการทรุดตัวถึง 7% ของหุ้นกลุ่มธนาคาร เป็นผลจากวิกฤติภาคธนาคารในสหรัฐและข่าวร้ายที่มาจากธนาคารเครดิต สวิส ซึ่งประสบปัญหาการเงินและซาอุดิ เนชั่นแนล แบงก์(Saudi National Bank) ซึ่งเป็นนักลงทุนรายใหญ่ในธนาคาร กล่าวว่า ไม่สามารถให้การสนับสนุนทางการเงินได้มากกว่านี้
หุ้นกลุ่มน้ำมันและก๊าซลดลง 6.7% กลุ่มเหมืองแร่ลดลง 5.6%
หุ้นธนาคารใหญ่ทั้ง บีเอ็นพี พาริบาร์ส หุ้นโซซิเอเต้ เจนเนอรัล หุ้นคอมเมิร์ซแบงก์ หุ้นดอยช์แบงก์ พากันลดลงหนัก และถูกระงับการซื้อขายหลายครั้งในช่วงเช้า รวมทั้งธนาคารเครดิต สวิสเอง
สถานการณ์ในภาคธนาคารยุโรป ทำให้นักลงทุนคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.25% ในการประชุมวันพฤหัสบดีนี้
ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 436.45 จุด ลดลง 13.11 จุด, -2.92%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 7,344.45 จุด ลดลง 292.66 จุด, -3.83%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 6,885.71 จุด ร่วงลง 255.86 จุด, -3.58%,
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่14,735.26 จุด ลดลง 497.57 จุด, -3.27%
ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนเมษายน ลดลง 3.72 ดอลลาร์ หรือ 5.2% ปิดที่ 67.61 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนพฤษภาคมลดลง 3.76 ดอลลาร์ หรือ 4.9% ปิดที่ 73.69 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล