‘หุ้น-ทองร่วง’ บอนด์ยีลด์พุ่ง ผวาเฟดเร่งขึ้นดบ. 0.5%

HoonSmart.com>>ข่าวร้ายหุ้นลิสซิ่ง ตลาดหุ้นร่วงแรง ราคาทองย่อลง หลังบอนด์ยีลด์ 10  ปี พุ่งแรงทะลุ 4.0% ตลาดกลัวเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย 0.50% ในการประชุมรอบนี้ ดันดอกเบี้ยแตะ 5.5-5.7% ในปี 66 

ตลาดหุ้นวันที่ 2 มี.ค.2566 ดัชนี SET ปรับตัวลง ระหว่างวันติดลบกว่า 10 จุด ตามตลาดต่างประเทศ และปิดที่ระดับ 1,612.64 จุด ลดลง 7.34 จุด, -0.45%  โดยมีแรงขายหุ้นลิสซิ่ง และสินเชื่อบุคคล นำโดย SAWAD

ด้านบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ขายสุทธิ 1,377.73 ล้านบาท รองลงมานักลงทุนต่างชาติขายต่อเนื่องอีก 379.13 ล้านบาท ด้านสถาบันซื้อสุทธิ 1,221.77 ล้านบาทและนักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิ 535.08 ล้านบาท

ตลาดหุ้นได้รับผลกระทบอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ(บอนด์ยีลด์) พุ่งแรง 10 ปี ขึ้นไปอยู่ที่ 4.0% และ  อายุ 1 ปี ขึ้นไปถุง 5.0% สะท้อนตลาดกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)จะเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมรอบเดือนมี.ค. คาดจะขึ้นไปถึง 0.50% จากเดิมคาดไว้ที่ 0.25% และอัตราดอกเบี้ยสูงสุดทะลุ 5.5% และทรงตัวสูงนาน หลังจากตัวเลขเศรษฐกิจออกมาดีกว่าที่คาด

ขณะที่ส่งออกของไทยอ่อนแอเกินกว่าที่คาดการณ์ กระทรวงพาณิชย์ รายงานยอดส่งออก เดือน ม.ค.66 อยู่ที่ 20,249 ล้านดอลลาร์ ลดลง -4.5% YoY แย่กว่าตลาดคาดที่ -1.40 ถึง -1.80% YoY โดยการส่งออกลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ต่อจากเดือนธ.ค.65 ที่ลดลง 14.6% ขณะที่มูลค่าการนำเข้า อยู่ที่ 24,899 ล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 5.5% ส่งผลให้เดือนม.ค. ไทยขาดดุลการค้า 4,649 ล้านดอลลาร์ กลับมาติดลบหนักสุดในรอบ 10 ปี จากการนำเข้าที่ +5.5% YoY

อย่างไรก็ตามส่งออกเดือนม.ค.66 ชะลอการติดลบลงจากเดือนก่อนหน้าที่ -14.60% YoY และทำได้ดีกว่าหลายประเทศในภูมิภาค

บล.หยวนต้ามองส่งออกมี Upside Risk จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน เศรษฐกิจโลกถดถอยลดลง มองบวกกลุ่มยานยนต์ SAT, AH

นางพวรรณ์ นววัฒนทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วายแอลจี บูลเลี่ยน อินเตอร์เนชั่นแนล (YLG) ผู้นำเข้าและส่งออกทองคำแท่งรายใหญ่ของไทย เปิดเผยว่าราคาทองคำในตลาดโลกช่วงนี้เริ่มมีสัญญาณปรับตัวลดลง จากความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับ การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด)ช่วงเดือนมี.ค.2565ที่เริ่มให้น้ำหนักว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย0.50%จากเดิมที่คาดการณ์ว่าจะปรับขึ้นเพียง0.25%ส่งผลให้มีความกังวลว่าปีนี้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจจะปรับขึ้นไปถึงระดับ5.5-5.75%เพิ่มจากอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันถึง1%และในกรณีที่อัตราเงินเฟ้อยังเร่งตัวต่อเนื่อง ก็มีโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจจะไปถึงจุดสูงสุดที่6%จากความกังวลดังกล่าวจึงส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐกลับมาแข็งค่า และกดดันให้ทองคำราคาอ่อนลง

อย่างไรก็ดี ราคาทองคำในระยะกลางยังอยู่ในช่วงของการปรับฐาน หลังจากทองคำพุ่งแรงนับตั้งแต่ปลายปี 2565 จนถึงเดือน มี.ค.จนเข้าสู่ภาวะซื้อมากเกินไป นักลงทุนจึงมีพฤติกรรมเทขายเมื่อเข้าใกล้แนวต้าน ทำให้ราคาทองคำผ่านแนวต้านสำคัญไปได้ยากยิ่งขึ้นจนกว่าจะมีปัจจัยหนุนใหม่ๆเข้ามา โดยมองแนวต้านแรกที่ 1,847-1,852 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ หากไม่ผ่านแนวต้านนี้ อาจจะมีสัญญาณซึมตัวลง ส่วนแนวรับมองที่1,800ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ แต่หากผ่าน 1,847-1,852 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ได้จะมีมุมมองเชิงลบลดลงต่อโดยมีต้านถัดไปที่ 1,880-1,870 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์

ขณะเดียวกันทองคำในประเทศไม่ได้เคลื่อนไหวไปในทิศทางเดียวกับราคาทองคำในตลาดโลก เพราะได้รับอานิสงส์จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า  นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันยังทรงตัวรักษาระดับไว้ได้เหนือบาทละ 29,500 บาท  ไม่ได้ปรับตัวลดลงเช่นราคาทองคำในตลาดโลก อีกทั้งยังมีโอกาสขยับขึ้น โดยมองแนวต้าน30,500 30,850บาทต่อบาททองคำ แนวรับ 30,000-29,500 บาทต่อบาททองคำ

อย่างไรก็ตามแนะนำแบ่งขายทำกำไรเมื่อราคาทองคำในประเทศขยับขึ้น เพราะราคาทองคำต่างประเทศยังเป็นทิศทางปรับตัวลง หากค่าเงินบาทกลับมาแข็งค่า ราคาทองคำในประเทศก็จะกลับไปเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับราคาทองคำในตลาดโลกจึงแนะนำว่าให้ขายทำกำไรออกไปก่อน