“บลจ.อีสท์สปริง” หวังปั๊มมาร์เก็ตแชร์ “กองทุนรวม” ขึ้นอันดับ 5 ใน 3 ปีข้างหน้า

HoonSmart.com>> “ดารบุษป์ ปภาพจน์” CEO คนใหม่ “บลจ.อีสท์สปริง” มั่นใจทีมงาน-ผู้จัดการกองทุนประสบการณ์สูง ดันมูลค่า AUM กองทุนรวมขึ้นสู่อันดับ 5 ภายใน 3 ปีข้างหน้า หลังผ่านวิกฤตโควิดกระทบมูลค่ากองทุนตราสารหนี้ เดินหน้าลุยตลาด mass market มีทางเลือกลงทุนหลากหลาย พร้อมมองบวกธุรกิจปีนี้ หลังปี 65 อุตฯ กองทุนรวมมูลค่าลดลง

ดารบุษป์ ปภาพจน์

น.ส.ดารบุษป์ ปภาพจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อีสท์สปริง (ประเทศไทย) เปิดเผยเป็นครั้งแรกหลังจากเข้ารับตำแหน่งเมื่อวันที่ 1 ม.ค.2566 ว่า บริษัทฯยังคงมุ่งดำเนินธุรกิจในตลาด mass market ให้ทางเลือกลูกค้าสามารถเลือกลงทุนได้หลากหลาย ซึ่งเป็นแนวทางทางที่บริษัทมองต่อไปข้างหน้า อีกทั้งการบริหารจัดการลงทุนของทีมงานบริษัท ซึ่งมีผู้จัดการกองทุนที่มีความสามารถทั้งจากบลจ.ธนชาตเดิมและบลจ.ทหารไทยที่มีประสบการณ์ด้านตราสารหนี้สูง ส่วนตราสารทุนก็ได้ทีมงานเข้ามาเติมซึ่งมีผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์สูงเช่นกัน

“เราเชื่อมั่นว่าจะสามารถพาองค์กรไปด้วยกันและดึงความมั่นใจให้แก่ผู้ลงทุนให้มาลงทุนในกองทุนของเราได้ทั้งกองทุนในประเทศและต่างประเทศ”น.ส.ดารบุษป์ กล่าว

อย่างไรก็ตามด้วยประสบการณ์ของผู้จัดการกองทุนและตลาดมาในทิศทางที่เราถนัด ดอกเบี้ยเริ่มขึ้น ซึ่งหากดอกเบี้ยไม่ได้ปรับขึ้นรุนแรงน่าจะมาทางเรา ซึ่งประสบการณ์ในเชิงคุณภาพตราสาร การคัดเลือกตราสารหนี้ไม่ได้เป็นสองรองใครและมั่นใจว่าจะมีสภาพคล่องให้เพียงพอให้แก่ผู้ลงทุนและจากประสบการณ์ในช่วงโควิดที่ผ่านมามองโอกาสเกิดเหตุการณ์รุนแรงในตราสารหนี้อีกมีน้อยมาก อีกทั้งปัญหาที่เกิดขึ้นลูกค้าไม่ได้รับผลกระทบในเชิงคุณภาพตราสาร เพียงแต่ระยะเวลาชำระเงินเลื่อนออกไปและยังได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าหากขายคืนในตอนนั้นที่นักลงทุนตกใจจากภาวะตลาดตราสารหนี้ผันผวนทั่วโลก ซึ่งเชื่อว่าลูกค้ามีความมั่นใจและเชื่อมั่นในบริษัท แต่ที่ผ่านมาอัตราดอกเบี้ยลดลงมาก ประกอบกับมีหุ้นกู้ออกมาเสนอขายจำนวนมากทั้งหุ้นกู้ชั่วนิรันดร์และหุ้นกู้ทั่วไป ทำให้นักลงทุนมีทางเลือกลงทุน

น.ส.ดารบุษป์ กล่าวว่า ปี 2565 ที่ผ่านมากองทุนรวมมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (AUM) ลดลงไปในทิศทางเดียวกับอุตสาหกรรม หลักๆ มาจากราคาหน่วยลงทุนที่ลดลง โดยเฉพาะกองทุนต่างประเทศ (FIF) ที่มีจำนวนมาก ราคาปรับลดลงตามตลาดหุ้นต่างประเทศที่ร่วงลงแรง ส่งผลให้ AUM ธุรกิจกองทุนรวมมีมูลค่าอยู่ที่ 3.7 แสนล้านบาท ส่วนแบ่งตลาดอันดับ 6 และพยายามกลับไปยืนที่เดิม คาดหวังว่าจะขึ้นไปยืนอันดับ 5 ได้ภายใน 3 ปีข้างหน้า ส่วน AUM รวม 3 ธุรกิจอยู่ที่ประมาณ 4.01 แสนล้านบาท ส่วนแบ่งตลาดอันดับ 8

“ธุรกิจกองทุนรวมในปี 2566 นี้คาดว่าจะเป็นบวก แต่ก็ไม่ใช้เป็นปีที่ง่าย เนื่องจากเศรษฐกิจถดถอยทำให้ลูกค้าบางกลุ่มกลัวและไม่กล้าลงทุน หลังจากปีก่อนตลาดหุ้นต่างประเทศลงแรง โดยเฉพาะจีน แต่ก็มีบางกลุ่มที่ยังกล้าลงทุน ซึ่งเรามองตลาดยังมีความผันผวนค่อนข้างสูงและเราเน้นความยั่งยืน โดยกองทุนรวมยังเป็นตัวผลักดันหลักในการเติบโต ส่วนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะเป็นธุรกิจที่ยั่งยืนและลูกค้าก็อยู่กับเรามานานด้วยระบบที่มีเสถียรภาพ จึงมั่นใจในการเติบโตอย่างมั่นคง”น.ส.ดารบุษป์ กล่าว

ปัจจุบันช่องทางขายกองทุนรวมหลักๆ ยังมาจากธนาคารทหารไทยธนชาต (TTB) ขณะที่ช่องทางขายผ่านเอเยนต์มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์โควิดจนกระทบตลาดตราสารหนี้ AUM ของบลจ.ธนชาตรวมกับบลจ.ทหารไทย ก่อนจะมาเป็นบลจ.อีสท์สปริง มีมูลค่า AUM รวมประมาณกว่า 7 แสนล้านบาท ส่วนแบ่งตลาดอันดับ 6

อ่านข่าว

“อีสท์สปริง” มองศก.-ลงทุนยังผันผวน แนะจัดพอร์ตเพิ่มน้ำหนักหุ้น ชูจีน-เอเชียเด่น