HoonSmart.com>>สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เผยดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุน 3 เดือนข้างหน้าพุ่งขึ้น 31.5% จากผลสำรวจเดือนก่อน เข้าเกณฑ์ “ร้อนแรงมาก” ท่องเที่ยวฟื้นเร็ว-เงินทุนไหลเข้าหนุน ชูหมวดท่องเที่ยว -พาณิชย์-ธนาคารโดดเด่น ส่วนหมวดกระดาษและวัสดุการพิมพ์ไม่น่าสนใจมากที่สุด ตามด้วยเหมืองแร่ และหมวดบริการเฉพาะกิจ (PROF)
สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (FETCO Investor Confidence Index) เดือนม.ค.2566 ปรับตัวขึ้นทุกกลุ่ม มองแนวโน้มในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 160.07 เพิ่มขึ้น 31.5% จากการสำรวจเดือนก่อนหน้า เข้าสู่เกณฑ์ “ร้อนแรงอย่างมาก” เนื่องจากนักลงทุนรายบุคคล กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ และกลุ่มสถาบันในประเทศ มองว่าการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว เป็นปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นมากที่สุด ส่วนนักลงทุนต่างชาติมองว่าการไหลเข้าของเงินทุนเป็นปัจจัยหนุนมากที่สุด และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ
ปัจจัยที่ฉุดความเชื่อมั่นของนักลงทุนมากที่สุด ได้แก่ สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศ นโยบายการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และการประกาศจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ทั้งนี้ กลุ่มนักลงทุนบุคคลและกลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ ปรับขึ้นสู่เกณฑ์ “ร้อนแรงอย่างมาก” ในขณะที่กลุ่มบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ กลุ่มสถาบันในประเทศปรับขึ้นอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง”
นักลงทุนสนใจลงทุนในหมวดท่องเที่ยวและสันทนาการ (TOURISM) มากที่สุด รองลงมาคือหมวดพาณิชย์ (COMM) และหมวดธนาคาร (BANK) ขณะที่นักลงทุนเห็นว่าหมวดกระดาษและวัสดุการพิมพ์ (PAPER) ไม่น่าสนใจมากที่สุด รองลงมาคือหมวดเหมืองแร่ (MINE) และหมวดบริการเฉพาะกิจ (PROF)
ในช่วงเดือน ม.ค. SET Index เคลื่อนไหวในกรอบแคบระหว่าง 1,663.86-1,691.41 ปัจจัยหนุนภายนอกมาจากแนวโน้มการชะลอปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด การชะลอตัวของอัตราเงินเฟ้อในหลายประเทศเศรษฐกิจสำคัญ และการเปิดประเทศของจีน ส่งผลให้นักลงทุนคลายกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย ส่วนของปัจจัยในประเทศแม้ได้รับปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว แต่นักลงทุนยังมีความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อมากว่า 1 ปี ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 4/65 ออกมาต่ำกว่าคาด และความกังวลต่อการจัดเก็บภาษีขายหุ้น
SET Index ณ สิ้นเดือน ม.ค. ปิดที่ 1,671.46 จุด เพิ่มขึ้น 0.2% จากเดือนก่อนหน้า เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิกว่า 18,997 ล้านบาท
ปัจจัยต่างประเทศที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้นเนื่องจากเงินเฟ้อยังอยู่สูงกว่ากรอบเป้าหมายของเฟด จึงไม่น่ามีการลดดอกเบี้ยในปี 2566 แนวโน้มการเลิกจ้างงานโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์โลก ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นคงระหว่างประเทศ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจประเทศจีนภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาด Covid-19
ส่วนของปัจจัยในประเทศที่น่าติดตาม ได้แก่ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ได้อานิสงส์จากภาคการท่องเที่ยวโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีน การขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชน การส่งออกสินค้าที่อาจจะชะลอลงตามอุปสงค์ประเทศคู่ค้าสำคัญ โอกาสในการเป็นฐานการผลิตหลังหลายประเทศเริ่มย้ายฐานการผลิตออกจากจีน รวมถึงจับตามองการนับถอยหลังสู่การยุบสภาและผลการเลือกตั้งใหญ่ ซึ่งจะสะท้อนทิศทางเศรษฐกิจไทยในครึ่งหลังของปี 2566