เงินบาทอ่อนหนุนส่งออก ITC-TU-AAI-ASIAN

HoonSmart.com>>หุ้นไทยลง 0.37% น้อยกว่าตลาดเอเชีย-ยุโรป ได้เงินเฟ้อม.ค.ชะลอต่อช่วย ส่วนดอลลาร์สหรัฐแข็งค่า บอนด์ยีลด์พุ่ง กลัวเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย ยืนสูงข้ามปี67 บล.กสิกรไทยมองกดดันฟันด์โฟลว์ชะลอ ส่งออกได้ดี แนะนำ AAI, ITC, KCE ส่วนบล.พาย แนะรอดูเงินเฟ้อสหรัฐฯ 14 ก.พ. คาดกรอบดัชนีสัปดาห์นี้  1,670 – 1,700 เชิงกลยุทธ์ลงทุนระยะสั้นระวังอิเล็กทรอนิกส์ถูกเท (HANA, KCE) เน้น  Defensive อาทิ BDMS, ADVANC, BGRIM, GPSC, GULF, RATCH, ASIAN, TU ค้าปลีก (BJC, HMPRO) ท่องเที่ยว (AOT, CENTEL, ERW, MINT, SPA) ร้านอาหาร (M)

บล.กสิกรไทย คาดตลาดหุ้นโลกในสัปดาห์นี้จะแกว่งตัวออกด้านข้างในทางเดียวกันไปจนถึงสหรัฐรายงานตัวเลขเงินเฟ้อเดือนม.ค.ที่จะออกมาในวันที่ 14 ก.พ. หากเติบโตจากเดือนก.พ.อาจจะเป็นปัจจัยกดดันหุ้นทั่วโลกอีกครั้ง ส่วนดัชนีตลาดหลักทรัพย์จะแกว่งในกรอบ 1,650-1,691 จุด มีโอกาสเห็นการปรับกรอบการลงทุน ประเมินว่าฟันด์โพลว์ยังมีแนวโน้มชะลอไหลเข้า หลังจากเงินบาทกลับมาอ่อนค่าแรงแตะ 33.4 บาท ทั้งนี้ค่าเงินบาทอ่อนค่าเร็วมาก มีผลดีต่อหุ้นส่งออก แนะนำ AAI, ITC, KCE และคาดกำไรไตรมาสที่ 4 ออกมาดี โดย  AAI คาดกำไรจะเติบโตทั้ง YoY และ QoQ เช่นเดียวกับ ITC คาดกำไรจะโต YoY

“AAI ให้ราคาพื้นฐาน 8.7 บาท คาดไตรมาสที่ 4/2565 มีกำไร 273 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36% จาก YoY และ 3% QoQ ปัจจุบันหุ้นซื้อขายในราคาที่ต่ำมาก P/E ปี 2566-2567 ที่ 14 เท่าและ 12.1 เท่า ขณะที่ P/E เฉลี่ยปีนี้ของคู่แข่งอยู่ที่ 25.9 เท่า ค่าเงินบาทอ่อนทุกๆ 1 บาท สมมุติฐานจะส่งผลบวกต่อกำไรราว 4% ” บล.กสิกรไทยระบุ

บล.พาย มองว่า สหรัฐฯรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรขยายตัวแข็งแกร่งกว่าตลาดประเมินไว้หนุนเงินเฟ้อสูง ส่งผลให้กังวลกับนโยบายการเงินขึ้นเข้มงวด ประเมินตลาดหุ้นโลกจะเคลื่อนไหว Sideway – Sideway Down เพื่อรอดูเงินเฟ้อสหรัฐฯในวันที่ 14 ก.พ. ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ลดลง ถูกกดดันจากอุปสงค์ในจีนและดอกเบี้ยขาขึ้น

ส่วนตลาดหุ้นไทยประเมินสัปดาห์นี้กรอบ 1,670 – 1,700 เชิงกลยุทธ์การลงทุนระยะสั้นระมัดระวังอิเล็กทรอนิกส์ (HANA KCE) การปรับลงของ Nasdaq เป็นตัวกดดัน หุ้นแนะนำยังเน้น Defensive อาทิ โรงพยาบาล (BDMS) สื่อสาร (ADVANC) โรงไฟฟ้า (BGRIM GPSC GULF RATCH) ส่งออก (ASIAN TU) ผลพวงค่าเงินบาทอ่อนค่า รวมถึง Domestic Play ที่ได้ประโยชน์ฟื้นตัวเศรษฐกิจในประเทศ ค้าปลีก (BJC HMPRO) ท่องเที่ยว (AOT CENTEL ERW MINT SPA) ร้านอาหาร (M)

“แนะนำซื้อ TU ราคาเป้าหมาย 23.50 บาท คาดไตรมาสที่ 4/2565 มีกำไรสุทธิ 1,371 ล้านบาท  (-23%YoY,-46%QoQ) ผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในช่วงปลายไตรมาสทำให้มีผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนเข้ามากว่า 300 ล้านบาท  ถ้าไม่รวมกำไรปกติอยู่ที่ 1,671 ล้านบาท (-10%YoY,-7%QoQ) แม้ค่าเงินบาทโดยเฉลี่ยจะยังอ่อนกว่าปีก่อนอีก 9% ทำให้รายได้ยังคงเห็นการเติบโตได้เล็กน้อยมาอยู่ที่ 39,592 ลบ. (+3%YoY,-3%QoQ) การลดลง 3Q22 ผลฤดูกาล”

นอกจากนี้ยังแนะนำซื้อ HMPRO ราคาเป้าหมาย 18.00 บาท คาดกำไตรมาสที่ 4/2565  ที่ 1,700 ล้านบาท (-4%YoY, +11%QoQ) ถูกกดดันจากต้นทุนสาธารณูปโภคที่สูงขึ้น แต่คาดรายได้แตะจุดสูงเป็นประวัติการณ์ หนุนจากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ที่ 2%YoY (HomePro +2.4%, Mega Home ทรงตัวYoY HomePro Malaysia +12%) ขณะที่คาดว่ากำไรปี 2566  จะทำจุดสูงใหม่ ผลจากการขยายสาขา Mega Home ในเชิงรุก การบริโภคที่ฟื้นตัวก่อนเลือกตั้ง

บล.กรุงศรี วิเคราะห์ว่าตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐแข็งแกร่งผิดคาดในเดือนม.ค. เป็นการยืนยันข้อความล่าสุดของ เฟด ที่ว่าการต่อสู้กับเงินเฟ้อยังไม่จบ ในขณะเดียวกัน ตลาดงานที่แข็งแกร่งของสหรัฐจะเพิ่มแรงกดดันต่อเส้นทางดอกเบี้ย น่าจะทำให้ประมาณการ dot plot ที่จะประกาศออกมาในเดือนมี.ค.สูงขึ้นไปอีก ถึงแม้จะไม่คิดว่า เฟดจะกลับไปขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.50% อีก แต่มองว่ามีโอกาสสูงที่จะขึ้นดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% ต่อไปอีกจนถึงหลังไตรมาสแรกปีนี้  แต่ในแง่บวกมองว่ามีความเสี่ยงจำกัดที่เงินเฟ้อจะดีดตัวขึ้นมาอีก เพราะรายได้เฉลี่ยรายชั่วโมงชะลอตัวลงมาอยู่ที่ 0.3% (จาก 0.4%) ในขณะที่ดัชนี ISM service price paid ลดลงเหลือ 67.8 จาก 68.1 จึงยังคงแนะนำให้หลีกเลี่ยงหุ้น growth stock และเพิ่มสถานะถือครองหุ้น defensive

ตลาดหลักทรัพย์วันที่ 6 ก.พ.2566 ดัชนีปิดที่ระดับ 1,682.11 จุด ลดลง 6.25 จุด หรือ -0.37% มูลค่าซื้อขาย 47,888.62 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 2,269.11 ล้านบาท  ด้านนักลงทุนไทยซื้อ 1,855.82 ล้านบาท

นายณัฐพล คำถาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้ปรับตัวลงตามตลาดต่างประเทศ โดยตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียต่างเคลื่อนไหวในแดนลบเฉลี่ย 1.5% เช่นเดียวกับตลาดในยุโรปที่เทรดบ่ายนี้ติดลบเฉลี่ย 0.6% หลังตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐออกมาดี ทำให้มองว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะใช้อัตราดอกเบี้ยสูงไปอีกระยะหนึ่ง แต่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงน้อยกว่าตลาดภูมิภาค เนื่องจากตัวเลขเงินเฟ้อของไทยออกมาดี ต่ำกว่าตลาดคาดไว้ที่ 5.1% ทำให้ช่วยหนุนหุ้นพวก Domestic Plays ให้ปรับตัวขึ้นไปได้

นอกจากนี้ หุ้น DELTA ที่ปรับตัวขึ้นก็ช่วยตลาดได้มาก และพรุ่งนี้ก็จะมีการปรับหน่วยย่อยการซื้อขายหุ้น DELTA ซึ่งก็จะทำให้เกิดการเล่นเก็งกำไรได้ง่ายขึ้น แต่ไม่ได้ทำให้ปัจจัยพื้นฐานเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ตลาด

ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นในวันพรุ่งนี้ (7 ก.พ.) ตลาดคงจะแกว่งแคบในช่วงรอดูถ้อยแถลงประธานเฟด และความเห็นของประธานเฟดสาขาต่าง ๆ ที่จะมีขึ้นในคืนวันอังคารนี้ (7) พร้อมให้แนวรับ 1,680 จุด แนวต้าน 1,690 จุด

 

อ่านประกอบ

เงินเฟ้อม.ค.ขยายตัว 5.02% ต่ำสุดรอบ 9 เดือน หนุนหุ้นค้าปลีก