HoonSmart.com>>ธนาคารกลางสหรัฐปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.25% ตามคาด ส่งสัญญาณเดินหน้าต่อ จับตาประชุม ECB-BoE “ดร.ประสาร”มองมีโอกาสน้อยที่เฟดจะเริ่มปรับลดดอกเบี้ยปลายปีนี้อย่างที่ตลาดคาด ต้องจัดการเงินเฟ้อที่ดื้อยาสูงกว่า 6% ห่างจากเป้าหมายที่ 2% นักลงทุนที่ลุยซื้อสินทรัพย์เสี่ยงเมื่อเดือนม.ค.ที่ผ่านมาจะต้องระวัง รวมถึงความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ข่าวดีเศรษฐกิจโลกอาจจะถดถอยไม่รุนแรง สอดคล้องกับมุมมองของค่ายเกียรตินาคินภัทร ธนาคารกลางหลักคงดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับสูง กำไรต่อหุ้นของตลาดเพิ่มขึ้น 3-5% ดึงดูดฟันด์โฟลว์
ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ตามคาด ส่งสัญญาณเดินหน้าขึ้นต่อไป ซึ่งจะต้องรอดูการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) และการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BoE) ซึ่งตลาดคาดทั้งสองธนาคารกลางจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.50%
ด้านบลจ.วรรณ จัดงาน “INVESTMENT FORUM 2023″ หัวข้อ Reset Rebalance Recession(?) โดยดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานกรรมการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) บรรยายพิเศษ”ตลาดทุนไทยและเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ว่า เศรษฐกิจไทยน่าจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 3.7% รวมถึงล่าสุดกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจโลกดีขึ้นกว่าที่เคยประมาณการเมื่อเดือนต.ค.2565 เช่น สหรัฐอเมริกาคาดจะเติบโต 2.9% จากเดิมคาดที่ 2.7% จีนดีขึ้นกว่า 5% ยุโรปโต 1.4% จากระดับ1% แม้อังกฤษติดลบ 0.6% ก็ตาม จึงน่าจะมีโอกาสหลีกเลี่ยงเกิดการถดถอยที่รุนแรงได้
อย่างไรก็ตาม อัตราเงินเฟ้อยังคงอยู่ในระดับค่อนข้างสูง ค่อนข้างดื้อ ภาคบริการและตลาดแรงงาน อาจจะลดลงไม่ง่าย แม้ว่าราคาพลังงานลดลงค่อนข้างมากแล้วก็ตาม ตอนนี้เงินเฟ้ออยู่ที่ 6% ยังห่างจากเป้าหมายที่ 2% ทำให้เฟดยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยสูงอีกนานกว่าที่คาดการณ์ไว้ เพื่อจัดการกับปัญหาเงินเฟ้อ
” ในเดือนม.ค.ที่ผ่านมา ราคาสินทรัพย์เสี่ยง ทั้งหุ้นโลกและสินทรัพย์ดิจิทัล กระโดดขึ้นไปมาก เพราะคาดว่าเฟดจะเริ่มปรับลดดอกเบี้ยลงในปลายปีนี้ บนสมมุติฐาน 3 เรื่อง คือ 1.เศรษฐกิจโตเข้มแข็ง 2.ธนาคารกลางดำเนินนโยบายการเงินผ่อนคลาย และ3.เงินเฟ้อผ่อนคลาย ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นที่ทั้งสามเรื่องจะไปด้วยกัน ผ่อนคลายนโยบายการเงินลงได้บ้าง แต่ไม่ไปเร็ว ตอนนี้เงินเฟ้ออาจจะลดลงไม่ง่าย ดังนั้นโอกาสจะลดดอกเบี้ยปลายปีนี้ก็มีโอกาสน้อย คงตรึงดอกเบี้ยสูงอีกนานกว่าที่คาดการณ์ ซึ่งนักลงทุนที่ลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงก็จะต้องระวัง ต้องพิจารณาว่าเกิดจากสาเหตุใด เนื่องจากราคาที่ดีดตัวขึ้นไม่ใช่ปกติ เป็น overreact (ปฏิกิริยาเกินจริง) ส่วนความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ สงครามยูเครน ไม่ใช่การสู้รบเท่านั้น แต่มีการแทรกแซง ทำให้ราคาพลังงานสูง มีผลกระทบต่อตลาดทุน “ดร.ประสารกล่าว
ส่วนกำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ดีขึ้น ในช่วงก่อนเกิดโควิด ไตรมาสที่ 4 ปี 2562 อยู่ที่ 86 บาท เทียบกับไตรมาสที่ 4 ปี 2565 เพิ่มเป็น 108 บาท ซึ่งธุรกิจในอนาคตที่จะมีโอกาสเติบโต ได้แก่ อุตสาหกรรมอาหาร การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ อุตสาหกรรมเกี่ยวกับความยั่งยืน เช่น พลังงานสะอาด
ขณะที่ตลาดทุนไทยมีปัจจัยแวดล้อมที่ดี เช่น สภาพคล่องสูง นอกจากนี้ตลาดหลักทรัพย์เตรียมเปิดตัวระบบการซื้อขายหลักทรัพย์แบบใหม่ (trading system) ในวันที่ 7 มี.ค.2566 นี้ ซึ่งได้ร่วมมือกับ Nasdaq ดำเนินการมาหลายปี โดยใช้เทคโนโลยีระบบซื้อขายชั้นนำของโลก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและอัพเดทระบบให้ทันสมัย โดยมีความเร็วที่ดีขึ้นและรองรับปริมาณคำสั่งซื้อขายได้มากขึ้น
ส่วนกรณีจะมีการขยายเวลาซื้อขายหลักทรัพย์หรือไม่นั้นเป็นการศึกษาของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะเริ่มเมื่อไรคงต้องมีการหารือกันในลำดับต่อไป แต่สิ่งสำคัญคือเรื่องของระบบการซื้อขาย ถึงแม้ตอนนี้มูลค่าการซื้อขายในตลาดอาจลดลงมาจากช่วงที่ผ่านมาก็ตาม แต่ระบบใหม่ก็พร้อมรองรับอนาคตหากมีมูลค่าซื้อขายที่มาก
ด้านบริษัทเมืองไทยประกันชีวิตมีการจัดสัมมนาเรื่อง “ดูแลพอร์ตรับศักราชใหม่กับเมืองไทยประกันชีวิต”โดยมี ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ที่ปรึกษากลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร มาให้มุมมองทิศทางการลงทุนในปี 2566 ในเอกสารประกอบการสัมมนามีมุมมองไปในทิศทางเดียวกันกับ ดร.ประสาร โดยเฉพาะเรื่อง ธนาคารกลางประเทศหลักคงดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับสูง อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มปรับตัวลง แต่ยังไกลเป้าหมายของธนาคารกลาง และความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์สูงขึ้น ทำให้การลงทุนผันผวน ส่วนเศรษฐกิจไทยคาดเติบโต 3-4%กำไรต่อหุ้นของตลาดโต 3-5% การเลือกตั้งเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก และเงินทุนไหลเข้า
ตลาดหุ้นวันที่ 2 ก.พ.2566 ดัชนีปิดที่ระดับ 1,682.58 จุด ลดลง 3.17 จุด หรือ -0.19% มูลค่าซื้อขาย 62,319.50 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างประเทศขายสุทธิ 2,663.90 ล้านบาท สวนทางสถาบันไทยซื้อ 1,687.24 ล้านบาท และนักลงทุนในประเทศซื้อสุทธิ 797.04 ล้านบาท
นายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นวันนี้ดูจะอ่อนกว่าที่คาดไว้ ทั้งที่ได้แรงหนุนจากฝั่งสหรัฐ ในประเด็นเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี่ย 0.25% ตามคาด และคาดเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1-2 ครั้งก่อนที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ แต่ตลาดก็ตอบรับเรื่องเฟดไปมากแล้ว และยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาด้วย ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียวันนี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ
ส่วนแนวโน้มตลาดหุ้นในวันพรุ่งนี้ (3 ก.พ.) ตลาดคงจะเคลื่อนไหวไซด์เวย์ โดยมีแนวรับ 1,680-1,675 จุด แนวต้าน 1,690-1,695 จุด