MFC กางแผนปี 66 โตเหนืออุตฯ มองหุ้นไทยปีนี้ 1,770-1,800 จุด

HoonSmart.com>> “บลจ.เอ็มเอฟซี” มองภาพปี 66 สดใส ตั้งเป้า AUM เติบโตเหนือกว่าอุตสาหกรรม เดินหน้าเพิ่มผู้แนะนำลงทุนอิสระ มองเศรษฐกิจสหรัฐฯและยุโรปช่วงครึ่งปีแรกชะลอตัว ฉุดภาพรวมการลงทุนผันผวน เล็งออกกองทุนตราสารหนี้สหรัฐฯ ขายเดือนก.พ.นี้ ชูผลตอบแทนน่าสนใจ ตลาดหุ้นจีน เอเชียดาวเด่นปีนี้ ส่วนหุ้นไทยมองเป้าดัชนีสิ้นปี 1,770-1,800 จุด พร้อมคัดกองทุนแนะนำ “MCHEV, MCHINA, MFOCUS, M-MIDSMALL, M-EDGE, MRENEW

ธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์

นายธนโชติ รุ่งสิทธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) เอ็มเอฟซี (MFC) เปิดเผยว่า ภาพรวมมูลค่าสินทรัพย์สุทธิภายใต้การบริหาร (AUM) ของบริษัทในปี 2566 คาดว่ายังสามารถขยายการเติบโตได้เหนืออุตสาหกรรมที่คาดว่าจะอยู่ในเลขระดับตัวเดียวต้นๆ แรงหนุนจากภาพรวมเศรษฐกิจฟื้นตัว และคาดว่ามูลค่าสินทรัพย์ในหุ้นจะปรับตัวเพิ่มขึ้นส่งผลดีต่อ AUM รวมทั้งมีแผนเพิ่มจำนวนนักวางแผนการลงทุนอิสระ (IP) เพิ่มขึ้น

“ปีนี้เราอาจไม่ได้มุ่งแต่ AUM แต่มองว่าทำอย่างไรให้ลูกค้าโดยรวมที่ผลตอบแทนติดลบกลับมาเป็นบวกได้เร็ว ปรับพอร์ตได้เร็ว ซึ่งเราให้ความสำคัญมากกว่าในเรื่องของระบบ จึงมุ่งมั่นพัฒนาและนำเสนอธีมการลงทุนที่เหมาะกับภาพของตลาดในช่วงเวลารนั้นๆ และนำเครื่องมือต่าง ๆ เข้ามาช่วยในการประมวลข้อมูลเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยให้สามารถนำเสนอธีมการลงทุนใหม่ ๆ ให้นักลงทุนได้”นายธนโชติ กล่าว”นายธนโชติ กล่าว

สำหรับมุมมองการลงทุนในครึ่งปีแรกของปี 2566 นี้มองว่ายังคงมีความผันผวนจากเศรษฐกิจสหรัฐและยุโรปที่มีความเสี่ยงชะลอตัว จึงมีแผนออกกองทุนที่มีความเสี่ยงต่ำหรือมีกลไกในการป้องกันความเสี่ยงเศรษฐกิจขาลงได้ จึงจำนำเสนอกองทุนใหม่ลงทุนในตราสารหนี้สหรัฐฯ เนื่องจากดอกเบี้ยสหรัฐที่ปรับขึ้นมาถึงระดับ 4-5% ทำให้มองการลงทุนในตราสารหนี้จะให้ผลตอบแทนที่น่าสนใจ และในครึ่งปีหลังคาดว่าเศรษฐกิจจะดีขึ้น จึงมีแผนออกกองทุนหุ้นต่างประเทศ

ด้านการลงทุนแนะนำลงทุนตลาดหุ้นเอเชียไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้นจีน รวมถึงตลาดหุ้นไทย เนื่องจากสหรัฐ และยุโรปยังมีความเสี่ยงเศรษฐกิจชะลอและเงินเฟ้อที่สูง แต่เอเชียยังมีเงินเฟ้อที่ต่ำกว่า ส่วนการลงทุนในต่างประเทศให้เน้นลงทุนในหุ้นที่มีคุณภาพ โดยในสหรัฐจะเป็นตราสารหนี้ ในยุโรปจะเป็นเรื่องของหุ้นพลังงานทดแทน พลังงานสะอาด จึงแนะนำให้นักลงทุนจัพอร์ตการลงทุนในประเทศและต่างประเทศมีสัดส่วนเท่ากันจากเดิมอาจเน้นแต่ในประเทศ

นายธนโชติ กล่าวว่า สำหรับการดำเนินงานของบริษัทฯ ในช่วงที่ผ่านมามีจำนวนลูกค้าเติบโตและปี 2565 มีเม็ดเงินใหม่ไหลเข้าลงทุนสุทธิในกองทุน MFC โดยในปี 2564 มูลค่าสินทรัพย์ (AUM) มีการเติบโตขึ้นแบบก้าวกระโดด และชะลอตัวลงในปี 2565 ตามภาวะตลาดผันผวนที่ทุกสินทรัพย์ราคาปรับตัวลดลง ขณะที่ปี 2566 คาดหวังตลาดหุ้นมีทิศทางที่ดีส่งผลต่อมูลค่าหุ้นและการเติบโตของ AUM โดยตั้งเป้าหมายการเติบโตเหนืออุตสาหกรรม

ส่วนกองทุนส่วนบุคคเติบโตเกือบเท่าตัวในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาจาก 1.8 หมื่นล้านบาท เป็น 3 หมื่นล้านบาท โดยมีลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้นท่ามกลางตลาดหุ้นปรับฐาน ขณะที่กองทุนสำรองเลี้ยงชีพมีระบบทะเบียนและแอพพลิเคชั่นเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้น

“เป้าหุ้นไทย 1,770 – 1,800 จุด”

ด้านนายชาคริต พืชพันธ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโส บลจ.เอ็มเอฟซี กล่าวว่า มองแนวโน้มหุ้นไทยในปี 2566 ดีกว่าปีก่อน โดยวางเป้าหมายดัชนีสิ้นปีที่ระดับ 1,770 – 1,800 จุด จากแนวโน้มเศรษฐกิจเติบโต ได้รับอานิงส์จากการเปิดประเทศของจีนช่วยสนับสนุนภาคการท่องเที่ยว การดำเนินนโยบายดอกเบี้ยของกนง. รวมถึงการเลือกตั้งที่คาดว่าจะทำให้เกิดการใช้จ่าย การบริโภคเพิ่มขึ้น ซึ่งไม่ว่าใครจะเป็นรัฐบาล ตลาดหุ้นจะดูเรื่องของความมีเสถียรภาพและการดำเนินนโยบายที่ต่อเนื่องมากกว่า รวมถึงเม็ดเงินลงทุนต่างชาติที่คาดว่ายังไหลเข้าลงทุนต่อเนื่อง แม้อาจไม่สูงเท่าปีก่อนที่เงินไหลเข้าประมาณ 2 แสนล้านบาท เนื่องจากตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาระดับหนึ่ง ขณะเดียวกับที่ตลาดหุ้นอื่นยังน่าสนใจและราคาปรับขึ้นไม่มาก เช่น จีนและเวียดนาม

ส่วนแนวรับดัชนีประเมินกรณีเลวร้ายสุดที่ 1,530 จุด หากสถานการณ์สงคราม เงินเฟ้อ สภาวะเศรษฐกิจโลกถดถอยรุนแรง ซึ่งมองระดับราคาหุ้นไทยในปัจจุบันไม่ได้แพงแต่ก็ไม่ได้ถูก ดังนั้นการลงทุนต้องเลือกรายตัวที่ราคายังไม่แพง โดยกลุ่มหุ้นที่น่าสนใจได้แก่กลุ่มที่อิงการบริโภคในประเทศ ที่ได้ประโยชน์จากการใช้จ่ายที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นทั้งจากในประเทศและนักท่องเที่ยว ซึ่งลำดับต่อไปหรือในครึ่งปีหลังมองไปที่กลุ่มธนาคาร เนื่องจากงบไตรมาส 4/2565 ที่ออกมามีรายได้ NIM ค่อนข้างดี ซึ่งต้องติดตามต่อไปว่าหลังจากเศรษฐกิจฟื้นตัว คุณภาพสินทรัพย์จะเป็นอย่างไรและต้องสำรองหนี้มากน้อยแค่ไหน

ชูกองเด่น MCHEV, MCHINA, MFOCUS, M-MIDSMALL, M-EDGE, MRENEW

นายเชาวน์กร โชติบัณฑ์ ผู้อำนวยการอาวุโส กลยุทธ์การลงทุน บลจ.เอ็มเอฟซี กล่าวว่า จากมุมมองเศรษฐกิจโลกที่อาจชะลอตัวในครี่งปีแรกจึงแนะนำลงทุนในตลาดหุ้นจีนและเอเชียที่คาดว่าเศรษฐกิจจะเติบโตได้ดีรับอานิสงส์จากการเปิดประเทาของจีน จึงแนะนำกองทุน MCHEVO ลงทุนในหุ้นจีน All Shares ใน All Shares ใน China Evolution Theme และกองทุน MCHINA ลงทุนในหุ้นจีน A-Shares ได้ประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจจีนในระยะยาว

ส่วนหุ้นไทย แนะนำ กองทุน MFOCUS ลงทุนในหุ้นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและหรือตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ หรือตลาดรองอื่นๆ ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจำนวน ไม่เกิน 30 บริษัท และกองทุน M-MIDSMALL เน้นลงทุนในหุ้นบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ ที่มีปัจจัยพื้นฐานดี และมีแนวโน้มการเจริญเติบโตสูงในระยะปานกลางถึงระยะยาว

นอกจากนี้แนะนำกองทุน M-EDGE โอกาสลงทุนใสหุ้นที่มีความได้เปรียบในการแข่งขันทั่วโลก และกองทุน MRENEW ลงทุนในหุ้นพลังงานทดแทนคุณภาพดีทั่วโลกทางเลือกในการลงทุนที่ทนต่อความผันผวนของตลาดได้ดี ซึ่งได้ประโยชน์จากเม็ดเงินที่คาดว่าจะไหลเข้าลงทุนต่อเนื่องในพลังานทดแทน