“อเบอร์ดีน” มองกรอบหุ้นไทยปีนี้ 1,670-1,811 จุด

HoonSmart.com>> “บลจ.อเบอร์ดีน” ประเมินเศรษฐกิจโลกปี 66 เข้าสู่ภาวะถดถอยแต่ไม่รุนแรง ด้าน “จีน-เอเชีย” ฟื้นตัวหลังสถานการณ์โควิด ส่วนไทยได้อานิสงส์นักท่องเที่ยวเข้าหนุน GDP ฟันด์โฟลว์ไหลเข้า เลือกตั้งในประเทศหนุนดัชนี วางเป้าสิ้นปี 1,811 จุด แนะเลือกหุ้นได้อานิสงส์จากการเปิดประเทศ และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ

นายเจเรมี่ ลอว์สัน หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์และหัวหน้าฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) อเบอร์ดีน เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจโลกในปี 2566 นี้ คาดว่าจะเข้าสู่ภาวะถดถอยไม่รุนแรงและเกิดขึ้นกับกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว โดยกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่อย่างจีนและภูมิภาคเอเชียนั้นเศรษฐกิจน่าจะกลับมาฟื้นตัวหลังเผชิญโควิด-19 ส่วนเงินเฟ้อน่าจะมียืดเยื้อและอยู่กับเศรษฐกิจโลกไปอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการดำเนินนโยบายของธนาคารกลางที่ล่าช้าในช่วงที่เริ่มมีสัญญาณเงินเฟ้อมาจากการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา

“เงินเฟ้อทั่วไปเริ่มลดลง และปัญหาขาดแคลนกำลังผลิตในช่วงโควิดเริ่มได้รับการแก้ปัญหาแล้ว จึงคาดว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในปีนี้อยู่ที่ 5% และอาจปรับลดลง เพื่อให้สอดคล้องกับเศรษฐกิจหากเกิดภาวะถดถอยรุนแรง แต่จากค่าแรงที่ยังสูงในประเทศพัฒนาแล้วอาจเห็นเฟดปรับดอกเบี้ยขึ้นไปที่ระดับ 6% ซึ่งจะกระทบการลงทุนในหุ้นและตลาดตราสารหนี้”นายเจเรมี่ กล่าว

ด้านนางสาวดรุณรัตน์ ภิยโยดิลกชัย หัวหน้าฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บลจ.อเบอร์ดีน กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในปีนี้คาดว่าจะเติบโตประมาณ 3.6% ได้รับอานิสงส์จากการที่จีนเปิดประเทศ ทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวของไทยกลับมาเติบโตมากขึ้น ซึ่งคาดว่านักท่องเที่ยวจีนจะเข้ามาท่องเที่ยวในประทศไทยประมาณ 3-5 ล้านคนในปีนี้ และนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นทุกๆ 1 ล้านคนจะมีผลต่อการปรับบขึ้นของจีดีพีประมาณ 0.3%

สำหรับแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นไทยคาดว่าจะมีอัพไซด์ประมาณ 10% โดยไทยเป็นตลาดที่มีการฟื้นตัวช้าและน่าจะได้รับประโยชน์จาก 3 ด้านด้วยกันคือ 1.การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ 2.การเข้าลงทุนของต่างชาติในตลาดหุ้นไทย 3.การเลือกตั้งภายในประเทศ

ด้านการลงทุนของนักลงทุนต่างชาติในปีนี้คาดจะซื้อสุทธิประมาณ 2 แสนล้านบาท แต่ภาพรวมแล้วในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาการลงทุนของต่างชาติยังขายสุทธิทำให้เชื่อว่าจะยังมีโอกาสที่จะกลับเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นไทยอยู่อีกมาก

“ฟันด์โฟลว์มีโอกาสกลับเข้ามาลงทุนในไทยต่อเนื่องจากปีก่อน ส่วนหนึ่งเป็นผลจากแนวโน้มเงินบาทที่แข็งค่ามากจากความต้องการของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้น ส่วนการเลือกตั้ง ซึ่งจากสถิติที่ผ่านมาหุ้นมักปรับตัวขึ้น จากนั้นจะโฟกัสที่นโยบายของรัฐบาลใหม่เป็นหลักและเชื่อว่าใน 1 ปีแรกจะยังไม่เกิดความวุ่นวายทางการเมืองเกิดขึ้น”นางสาวดรุณรัตน์ กล่าว

บลจ.อเบอร์ดีน คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทยในปีนี้ น่าจะอยู่ในกรอบ 1,670-1,811 จุด จากสมมุติฐานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน EPS ที่ 107 บาทต่อหุ้น และราคา P/E ที่ประมาณ 15-16 เท่า โดยถือเป็นราคาที่น่าสนใจลงทุนและเป็นโอกาสดีในการเข้าลงทุนเพิ่มหากหุ้นไทยปรับตัวลง อย่างไรก็ตามหุ้นไทยมีอัพไซด์ไม่มาก นักลงทุนจึงควรคัดเลือกหุ้นที่ได้รับอานิสงส์จากการเปิดประเทศและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจเพื่อให้มีโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีกว่า

“เราแนะนำทั้งหุ้นใหญ่ และหุ้นกลาง-เล็ก โดยหุ้นใหญ่น่าจะได้รับอานิสงส์จากฟันด์โฟลว์ โดยหุ้นใหญ่ในกลุ่มอุปโภคบริโภคที่ สนใจ เช่น ซีพีออล ไมเนอร์ เป็นต้น แต่หุ้นกลุ่มธนาคารอาจได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้นได้ ส่วนหุ้นกลาง-เล็กก็จะเป็นกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ ซึ่งที่เรามีการลงทุนอยู่อย่างโรงพยาบาลพระราม 9 ก็ถือเป็นทางเลือกที่น่าสนใจเพราะน่าจะได้รับประโยชน์จากนักท่องเที่ยวจีนที่เข้ามาในไทยเนื่องจากเป็นโรงพยาบาลที่ทางการจีนแนะนำให้เข้ามาใช้บริการ”นางสาวดรุณรัตน์ กล่าว