TISCO ตั้งเป้าสินเชื่อปี 66 โต 5-10% ขยายสมหวังฯ 1 พันสาขาใน 3 ปี

HoonSmart.com>>กลุ่มทิสโก้ เปิดกลยุทธ์ปี 66 เร่งขยายสินเชื่อ High Yield ตั้งเป้าโต 5-10 % เน้นเพิ่มสินเชื่อรถมือสอง-รถบรรทุก ขยายสาขา “สมหวังเงินสั่งได้” ปีละ 200 สาขาต่อเนื่อง 3 ปี ให้ครบ 1,000 สาขา วางกรอบ NPL ไม่เกิน 3% ผลประกอบการปี 65 กำไรสุทธิ 7,222 ล้านบาท เติบโต 6.4% (กำไรต่อหุ้น 9.02 บาท) บล.ทรีนีตี้ชี้ปันผลงาม แนะ “ซื้อ” TISCO เป้า 110 บาท 

นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป หรือ TISCO เปิดเผยว่า ในปี 2566 กลุ่มทิสโก้ ปรับกลยุทธ์เข้าสู่โหมดของ “การเติบโต” โดยนำความเชี่ยวชาญในทุกแขนงมาพัฒนาต่อยอด เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้า ภายใต้การดำเนินธุรกิจด้วยความยั่งยืน ด้วยกลยุทธ์ที่ครอบคลุมในทุกมิติ

จากผลการดำเนินงานในปี 2565 สินเชื่อมีการเติบโตจาก 202,950 ล้านบาทในปี 2564 เป็น 219,004 ล้านบาทในปี 2565 เพิ่มขึ้น 7.9% จากที่ตั้งเป้าการเติบโตของสินเชื่อไว้ที่ระดับ 3-4%  ดังนั้น ในปี 2566 ได้ตั้งเป้าการเติบโตสินเชื่อ 5-10% โดยมีแผนเร่งขยายสินเชื่อในเชิงรุก มุ่งเน้นกลุ่มสินเชื่อที่มีหลักประกัน เร่งขยายสินเชื่อเพื่อการบริโภค (TISCO Autocash) สินเชื่อเช่าซื้อจะเน้นการเติบโตสินเชื่อรถมือสองและรถบรรทุก รวมถึงขยายสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ในกลุ่มที่ทิสโก้มีความเชี่ยวชาญ อาทิ กลุ่มพลังงาน กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์

บริษัทมีแผนกระจายเครือข่ายสาขา “สมหวังเงินสั่งได้” ผู้ให้บริการสินเชื่อเช่าซื้อ สินเชื่อจำนำทะเบียน จากปัจจุบันมี 450 สาขา จะเปิดสาขาเพิ่มปีละ 200 สาขาอย่างต่อเนื่อง ตั้งเป้าภายใน 3 ปี มีสาขารวม 1,000 สาขา โดยแต่ละสาขามีการกำหนดเป้าสินเชื่อ ระยะเวลาคืนทุน การปรับเปลี่ยนเคลื่อนย้ายทำเลที่ตั้ง หากทำไม่ได้ตามเป้าหมาย ถึงแม้ว่าปัจจุบันเทคโนโลยีมีความพร้อมรองรับการให้บริการได้อย่างเต็มที่ทำให้ความจำเป็นของการมีสาขาอาจจะลดลง แต่พฤติกรรมของผู้บริโภคยังคงมีความต้องการมาที่สาขา มาพบปะพนักงานผู้ให้บริการ จึงยังมีความจำเป็นที่ต้องเปิดสาขาต่อเนื่องไป

การขยายฐานสินเชื่อ High Yield เพิ่มมากขึ้น จะส่งผลให้สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) เพิ่มสูงขึ้นด้วย ในปี 64 มี NPL 4,957 ล้านบาท หรือ 2.4% ขณะที่ปี 65 NPL ลดลงเหลือ 4,577 ล้านบาท หรือ 2.1% นายศักดิ์ชัยกล่าวว่า NPL ในปี 66 คงเพิ่มสูงขึ้นตามการเติบโตของสินเชื่ออุปโภคบริโภคที่บริษัทเร่งขยาย โดยได้มีการตั้งสำรองเผื่อไว้ล่วงหน้าแล้ว (สัดส่วนการตั้งสำรองหนี้สูญต่อ NPL ปี 64 เท่ากับ 236.8% และปี 65 เป็น 258.8%) ในปี 66 วางกรอบ NPL ไว้ไม่ให้เกิน 3.0%

นอกจากนี้ ทิสโก้มีแผนสร้างการเติบโตจากรายได้ค่าธรรมเนียม ในกลุ่มธุรกิจนายหน้าประกันภัย ธุรกิจธนบดี และตลาดทุน โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ และนำเสนอบริการที่มุ่งสร้างคุณค่าให้กับลูกค้า ผ่านจุดแข็งของการเป็นที่ปรึกษาทางการเงิน-การลงทุนที่ดี และนำเครื่องมือทางการเงินใหม่ๆ ที่ช่วยเตรียมความพร้อมสู่ความมั่นคงทางการเงินของลูกค้า รวมถึงการจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อมอบบริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า

บริษัทมีแผนยกระดับการให้บริการผ่านช่องทางดิจิทัล และพัฒนาแพลตฟอร์มดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งให้เกิดระบบนิเวศทางธุรกิจ  (Ecosystem) ที่สามารถให้บริการแก่ลูกค้าอย่างครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ และตอบโจทย์พฤติกรรมของลูกค้าในยุคปัจจุบัน รวมถึงสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ

รวมถึงขับเคลื่อนองค์กรด้วยความยั่งยืน โดยบูรณาการเข้าไปอยู่ในทุกกระบวนการดำเนินงาน ทั้งในด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environment, Social and Governance: ESG) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย

“ในปี 2566 กลุ่มทิสโก้ปรับเป้าหมายเข้าสู่โหมดของการเติบโต โดยยังคงดำเนินการภายใต้กรอบการกำกับดูแลกิจการที่ดี ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบ ขณะเดียวกันจะเดินหน้าบ่มเพาะวัฒนธรรมการสร้างนวัตกรรม (Culture of Innovation) โดยบูรณาการทั้งบุคลากร (People) ขั้นตอน (Process) เทคโนโลยี (Technology) และข้อมูล (Data) เพื่อให้สามารถออกแบบการให้บริการลูกค้าในลักษณะของ Lifetime Solution ได้อย่างชัดเจนและรอบด้านขึ้น เพื่อเป็นสถาบันการเงินที่ลูกค้าไว้วางใจและใช้บริการในระยะยาว” นายศักดิ์ชัย กล่าว

สรุปผลการดำเนินงานปี 2565 มีกำไรสุทธิ 7,222 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 9.02 บาท เพิ่มขึ้น 6.4% เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่มีกำไรต่อหุ้น  8.47 บาท สาเหตุหลักมาจากการเติบโตของธุรกิจสินเชื่อที่เติบโต 7.9% ส่งผลให้รายได้ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 2.2% จากปีก่อนหน้า พร้อมด้วยค่าธรรมเนียมธุรกิจนายหน้าประกันภัยขยายตัว 24.0% สอดคล้องกับปริมาณสินเชื่อปล่อยใหม่ที่ขยายตัวได้ดีตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ทำให้ภาพรวมรายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจธนาคารพาณิชย์ปรับตัวดีขึ้น 13.4%

นอกจากนี้ ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss – ECL) ปรับตัวลดลงจากปีก่อนมาอยู่ที่ 0.3% ของยอดสินเชื่อเฉลี่ย เป็นไปตามการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพและภาวะความเสี่ยงจากการระบาดของโควิด-19 ที่คลี่คลายลง

อย่างไรก็ตาม ธุรกิจที่เกี่ยวกับตลาดทุนชะลอตัวลงจากปี 64 ทั้งรายได้ค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์หดตัว 19.2% จากปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่ลดลง รายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจจัดการกองทุนอ่อนตัวลง 33.2% จากยอดขายที่ลดลงของกองทุนที่ออกใหม่ ประกอบกับบริษัทไม่ได้รับรู้ค่าธรรมเนียมตามผลประกอบการเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องมาจากสภาวะตลาดทุนที่ไม่เอื้ออำนวย รวมถึงผลกำไรจากเงินลงทุนลดลงเมื่อเทียบกับผลกำไรในปี 64 ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นเฉลี่ย (ROAE) สำหรับปี 65 อยู่ที่ 17.2%

ทั้งนี้ เงินให้สินเชื่อรวมของกลุ่มทิสโก้ ณ วันที่ 31 ธ.ค.65 เท่ากับ 219,004 ล้านบาท เติบโต 7.9% จากสิ้นปีก่อนหน้า จากการขยายตัวของสินเชื่อจำนำทะเบียน สินเชื่อเช่าซื้อรถมือสอง สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ และสินเชื่อ SMEs โดยเฉพาะสินเชื่อจำนำทะเบียนผ่านช่องทาง “สมหวัง เงินสั่งได้” สามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เพิ่มขึ้น 26.0% จากสิ้นปีก่อนหน้า ตามการเปิดเครือข่ายสาขาที่เพิ่มขึ้นในระหว่างปี

ในส่วนของสินเชื่อที่มีการด้อยค่าด้านเครดิต (NPLs) ลดลงจากสิ้นปี 64 มาอยู่ที่ 2.1% ของสินเชื่อรวม เป็นไปตามนโยบายการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพและการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ตรงจุด ทั้งนี้ ระดับเงินสำรองหนี้สูญต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Loan Loss Coverage Ratio) ณ สิ้นปี 65 อยู่ในระดับสูงถึง 258.8%

ทางด้านธุรกิจธนาคาร ทิสโก้ยังคงรักษาระดับฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง โดยมีประมาณการอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อยู่ที่ 23.4% สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำ 11.0% ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย และมีอัตราเงินกองทุนชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 19.6% และ 3.7% ตามลำดับ

บล.ทรีนีตี้ ระบุว่าภาพรวมผลประกอบการของกลุ่มธนาคารในปี 2566 จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยมีปัจจัยสำคัญ คือ การฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะส่งผลให้ทั้งสินเชื่อและรายได้ค่าธรรมเนียมเติบโตได้ดี มุมมองต่อหุ้น TISCO แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 110 บาท สำหรับนักลงทุนที่ชอบการลงทุนระยะยาวเพื่อรับปันผล

บล.โนมูระพัฒนสินระบุว่า TISCO มีจุดเด่นเรื่องคุณภาพสินทรัพย์ และความเพียงพอของสำรอง นอกจากนั้น คาดปันผลปี 65 ที่ 7.19 บาทต่อหุ้น คิดเป็น dividend yield 7.2% คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมปี 66 ที่ 125 บาท

 

#TISCO #สมหวังเงินสั่งได้