HoonSmart.com>>”เดลต้า อีเลคโทรนิคส์”พุ่งแรงต่อ 930 บาท มาร์เก็ตแคปทะยาน 1,160,063.4 ล้านบาท สูงเป็นอันดับหนึ่งของตลาดหุ้นไทย ทิ้งห่าง AOT มากกว่า 88,635.9 ล้านบาท มีกระแสข่าวแตกพาร์ บิ๊กบริษัทยันบอร์ดไม่เคยหารือเรื่องนี้ ต้นเหตุราคาวิ่งแรงมาจากกำไรโต ผลิตภัณฑ์เป็นที่ต้องการของตลาดโลก โรงงานใหม่ใกล้เสร็จ เพิ่มกำลังการผลิต ฟรีโฟลทต่ำ หุ้นเข้า SET 50 ได้สองเด้งใช้อ้างอิงออกสินค้าอนุพันธ์ได้
ตลาดหุ้นไทยวันแรกของปี 2566 สวยงาม วันที่ 3 ม.ค.2566 ดัชนีปิดที่ 1,678.97 จุด ปรับตัวขึ้น 0.62% มีแรงซื้อหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ค้าปลีกและอิเล็กทรอนิกส์ นำโดยบริษัทเดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) หรือ DELTA ราคาวิ่งทะลุ 900 บาทปิดที่ระดับ 930 บาท พุ่งขึ้น 100 บาทหรือ 12.05% ด้วยมูลค่าการซื้อขายมากถึง 12,550.37 ล้านบาท ท่ามกลางกระแสข่าวลือว่าบริษัทจะมีการเปลี่ยนมูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (แตกพาร์) จากปัจจุบัน อยู่ที่ 1 บาทต่อหุ้น
ราคาหุ้น DELTA ที่ปรับตัวขึ้นแรง ส่งผลให้บริษัทเดลต้าฯมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด(มาร์เก็ตแคป) สูงที่สุดของตลาดหุ้นไทย ถึง 1,160,063.4 ล้านบาท มากกว่า จำนวน 88,635.9 ล้านบาท เมื่อเทียบกับเบอร์ 1 บริษัทท่าอากาศยานไทย (AOT) อยู่ที่ 1,071,427.50 ล้านบาท
แหล่งข่าวจากบริษัท เดลต้า อีเลคโทรนิคส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า การประชุมคณะกรรมการบริษัทฯที่ผ่านมา ไม่เคยมีการหารือเรื่องแตกพาร์แต่อย่างใด ส่วนสาเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรงทะลุ 900 บาท มาจากแนวโน้มกำไรเติบโตดี เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่ผลิต มีความต้องการสูงในตลาดโลก ทั้ง รถไฟฟ้า ระบบโซลาร์เซลรวมถึงยังมีการขยายโรงานเพิ่ม จะแล้วเสร็จในปี 2566 เพิ่มกำลังการผลิต
นอกจากนี้หุ้น DELTA มีปริมาณหมนุเวียนในตลาดต่ำ หรือฟรีโฟลทน้อยก็มีส่วนผลักดันให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรง
ณ วันที่ 1 มี.ค. 2565 บริษัทมีจำนวนผู้ถือหุ้นทั้งหมด 17,638 ราย แบ่งเป็น ผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) จำนวน 12,185 ราย คิดเป็นสัดส่วน 22.35% และการถือหุ้นแบบไร้ใบหุ้น 36.20%
นักวิเคราะห์กล่าวว่า หุ้น DELTA จะได้รับประโยชน์สองเด้งจากการเข้า SET 50 และ SET 100 นับตั้งแต่วันที่ 3 ม.ค.-30 มิ.ย. 2566 เนื่องจากโบรกเกอร์นำหุ้น DELTA ไปใช้อ้างอิงในการออกผลิตภัณฑ์อนุพันธ์ได้ เพิ่มเครื่องมือในการลงทุน และบริหารความเสี่ยงให้กับนักลงทุน ในภาวะตลาดหุ้นขาขึ้นและขาลงได้
ด้านตลาดหุ้นเอเชีย วันที่ 3 ม.ค.2566 มีทั้งบวกและลบคละกัน นำโดยฮ่องกง เพิ่มขึ้นถึง 1.84% ตามด้วยจีน +0.88% ดัชนีหุ้นไทยปิดที่ 1,678.97 จุด เพิ่มขึ้น 10.31 จุดหรือ 0.62% มูลค่าการซื้อขาย 64,998.07 ล้านบาท ส่วนตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวขึ้นเช่นเดียวกันในระหว่างชั่วโมงการซื้อขาย