MOSHI เคาะราคา IPO ขาย 21 บาท เปิดจอง 14-16 ธ.ค.นี้

HoonSmart.com>> “โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น” ผู้นำธุรกิจค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์รายใหญ่ของไทย กำหนดราคาขายหุ้น IPO จำนวนไม่เกิน 75 ล้านหุ้น ที่ 21.00 บาทต่อหุ้น เปิดให้นักลงทุนจองซื้อ 14-16 ธ.ค.65 พร้อมนำหุ้นเข้าเทรดในตลาด SET เดือนธ.ค.นี้ เดินหน้ากลยุทธ์สร้างการเติบโตเพื่อรักษาการเป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาดสินค้าไลฟ์สไตล์ในประเทศไทย

บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น (MOSHI) ได้ลงนามในสัญญาแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย พร้อมแต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์อีก 4 ราย เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ของ MOSHI ประกอบด้วย บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ,บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) ,บล.ธนชาตและบล.หยวนต้า (ประเทศไทย)

นายสง่า บุญสงเคราะห์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น (MOSHI) ผู้นำในธุรกิจร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์รายใหญ่ของประเทศไทยเปิดเผยว่า การเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในครั้งนี้ นับเป็นอีกหนึ่งก้าวความสำเร็จและความภาคภูมิใจ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถการดำเนินธุรกิจและความแข็งแกร่งด้านฐานะทางการเงินรองรับการขยายธุรกิจเพื่อขับเคลื่อนการเติบโต ภายใต้วิสัยทัศน์ “เราจะพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยเน้นคุณภาพ สรรสร้างการออกแบบที่เป็นเลิศในราคาที่แข่งขันได้ และคงไว้ซึ่งความนิยมของผู้บริโภคเพื่อให้ผลิตภัณฑ์ของ Moshi Moshi เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของลูกค้า”

บริษัทฯ เป็นผู้นำในตลาดสินค้าไลฟ์สไตล์ด้วยส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดตั้งแต่ปี 2562 และในปี 2564 มีส่วนแบ่งการตลาด (Market Share) เป็นอันดับหนึ่งสูงถึง 37.6% โดยปัจจุบันมีสาขาของ MOSHI ทั้งสิ้น 101 สาขา ครอบคลุมถึง 41 จังหวัด (ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2565) นอกจากนี้ MOSHI ยังมุ่งเน้นด้านการพัฒนาและออกแบบสินค้าใหม่ที่หลากหลาย ทั้งประเภทสินค้า รูปแบบและลวดลายให้น่าสนใจและมีเอกลักษณ์ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและแนวโน้มเทรนด์แฟชั่นที่เปลี่ยนแปลง เพื่อสร้างความประทับใจและเพิ่มประสบการณ์ในการเลือกซื้อสินค้าให้แก่ผู้บริโภค บล.

ทั้งนี้ MOSHI มีกลยุทธ์การดำเนินงานเพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผ่านแนวทาง 1.) ขยายเครือข่ายสาขาอย่างต่อเนื่อง ไปยังพื้นที่ที่มีศักยภาพทั้งในกรุงเทพ ปริมณฑลและต่างจังหวัด รวมถึงหัวเมืองใหญ่ โดยตั้งเป้ามีสาขารวมกันไม่ต่ำกว่า 165 สาขา ภายในปี 2568 2.) เพิ่มการเติบโตของยอดขายของสาขาเดิม (Same Store Sales Growth: SSSG) โดยมุ่งเน้นพัฒนาสินค้าใหม่ปีละมากกว่า 8,000 SKUs รวมถึงออกสินค้าในลักษณะ Collection สินค้าตาม Seasonal และสินค้าลิขสิทธิ์การ์ตูนที่เป็นที่นิยมเพื่อดึงดูดความน่าสนใจลูกค้า การจัดเซ็ทสินค้าเพื่อเพิ่มมูลค่าการซื้อและจัดทำ Visual Merchandise เพื่อ Display สินค้า และใช้กลยุทธ์ Co-Branding ร่วมกับ Influencer

3.) เพิ่มความสามารถในการเติบโตของกำไร โดยปรับสัดส่วนสินค้า (Product Mix) มุ่งเน้นสินค้าที่มีกำไรสูง ออกแบบบรรจุภัณฑ์/ลวดลายสินค้าให้ทันสมัยเพื่อเพิ่มมูลค่า ในขณะที่สามารถลดขั้นตอนการผลิตเพื่อลดต้นทุน แต่ยังคงเอกลักษณ์และความน่าสนใจของสินค้า ซึ่งช่วยเพิ่มยอดขายทำให้การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ 4.) ลงทุนพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ (IT) อย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ มีการพัฒนาระบบห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) เช่น การนำข้อมูลในอดีตมาวิเคราะห์ดีมานด์และซัพพลาย ทำให้สามารถสั่งซื้อสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ได้เตรียมพัฒนาระบบสมาชิกลูกค้า (Membership) เพื่อเพิ่มศักยภาพการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อนำเสนอสินค้าให้ตรงความต้องการลูกค้าแต่ละราย ถือเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ต่อยอดความสัมพันธ์กับลูกค้า

5.) พัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าและธุรกิจใหม่ๆ บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับช่องทางการจัดจำหน่ายแบบออนไลน์ (Online) นอกจากนี้ ยังมีแผนจะขยายสาขาในรูปแบบ Stand alone ในพื้นที่ใกล้แหล่งชุมชน โรงเรียน และสถานที่ทำงาน อีกทั้งเตรียมขยายสาขาในรูปแบบ Franchise ในจังหวัดรอง เพื่อต่อยอดธุรกิจสู่การเติบโตในอนาคต และ 6.) พัฒนาทรัพยากรบุคคลในแต่ละสาขา เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานขายหน้าร้านและสร้างความประทับใจให้กับลูกค้า

นางสาวศุภรดา โรจน์วัฒนะ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัท โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น (MOSHI) กล่าวว่า ความสำเร็จจากการดำเนินธุรกิจของ MOSHI ที่สามารถสร้างการเติบโตได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม สะท้อนถึงศักยภาพการแข่งขันของบริษัทฯ รวมถึงความสามารถสร้างการเติบโตต่อเนื่อง จากข้อได้เปรียบเชิงการแข่งขันด้วยทีมผู้บริหารมีประสบการณ์ในธุรกิจค้าปลีกมายาวนาน มีความสัมพันธ์อันดีกับคู่ค้าทั้งผู้ผลิตและผู้จำหน่ายสินค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างคู่ค้าทำให้ทราบถึงแนวโน้มความต้องการของลูกค้า ความนิยมของสินค้า และกำลังซื้อของผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่

นอกจากนี้ การที่ MOSHI เป็นบริษัทสัญชาติไทย ทำให้มีฝ่ายจัดหาและพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นของตนเอง ซึ่งมีความเข้าใจตลาดจึงสามารถออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งการออกแบบร้านที่โดดเด่น การใช้สีและแสงที่เข้ากับร้าน และการจัดผังร้านค้า (Store Layout) ให้มีเอกลักษณ์ เพื่อสร้างความแตกต่างจากร้านค้าของผู้ประกอบการรายอื่น

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,263.84 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 131.27 ล้านบาท ขณะที่ผลงานในงวด 9 เดือนแรกของปี 2565 บริษัทฯ มีรายได้รวม 1,253.36 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59.0% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 788.40 ล้านบาท ซึ่งอัตราเติบโตของรายได้จากการขายของสาขาเดิม (SSSG) เพิ่มขึ้น 50.1% โดยปัจจัยความสำเร็จมาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการเปิดประเทศ ส่งผลให้กำลังซื้อและกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่างๆ ดีขึ้นตามลำดับ ประกอบกับจำนวนสาขาที่เพิ่มขึ้น 6 สาขา ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าช่วยผลักดันการเติบโตของรายได้เป็นอย่างดี

ขณะที่กำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรกของปี 2565 ทำได้ 134.63 ล้านบาท เติบโต 192% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของรายได้จากการขายในอัตราที่สูงกว่าค่าใช้จ่ายในการขายและการบริหาร

นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า บมจ.โมชิ โมชิ รีเทล คอร์ปอเรชั่น ได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ที่ราคา 21.00 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาที่เหมาะสมสะท้อนพื้นฐานและศักยภาพในการเป็นผู้นำในธุรกิจร้านค้าปลีกสินค้าไลฟ์สไตล์รายใหญ่ของประเทศไทย โดยเตรียมเปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้น IPO ในวันที่ 14-16 ธันวาคม 2565 และคาดว่าจะนำหุ้นเข้าจดทะเบียนและซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ภายในเดือนธ.ค.นี้

ทั้งนี้ MOSHI มีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 300 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1.00 บาท โดยมีทุนที่ออกและเรียกชำระแล้วจำนวน 240 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 240 ล้านหุ้น โดยจะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 75 ล้านหุ้น ประกอบด้วย หุ้นสามัญเดิม จำนวนไม่เกิน 15 ล้านหุ้น และเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ออกใหม่ จำนวนไม่เกิน 60 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 25% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมดของบริษัทฯ

ภายหลังการ IPO ในครั้งนี้ โดยจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้เป็นส่วนหนึ่งของเงินลงทุนสำหรับการขยายธุรกิจ ชำระเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน รวมถึงภาระหนี้อื่นที่บริษัทฯ อาจมีขึ้นในอนาคต และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงานของบริษัทฯ