HoonSmart.com>>ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้ง 3 ดัชนีหลักปิดร่วง ดาวโจนส์ลดลง 333 จุด แรงขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี หลังบอนด์ยีลด์ปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือน ที่ 4.627% ลามไปขายหุ้น Growth stock ที่หนุนตลาดปรับตัวขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ด้าน “ราคาน้ำมันดิบ” ปรับขึ้น ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดบวกเป็นครั้งแรกในสามสัปดาห์
ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average: DJIA) วันที่ 27ธันวาคม 2567 ปิดที่ 42,992.21 จุด ลดลง 333.59 จุด หรือ -0.77% จากแรงเทขายในวงกว้างรวมไปถึงกลุ่มเทคโนโลยี และหุ้น growth stock ที่หนุนตลาดให้ปรับขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
ดัชนี S&P 500 ปิดที่ 5,970.84 จุด ลดลง 66.75 จุด, -1.11%
ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,722.03 จุด ลดลง 298.33 จุด, -1.49%
อย่างไรก็ตาม ในสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์ยังคงเพิ่มขึ้นประมาณ 0.4% จากที่ลดลงสามสัปดาห์ติดต่อกันดัชนี S&P 500 ขยับขึ้น 0.7% ส่วน Nasdaq เพิ่มขึ้นเกือบ 0.8%
ในเดือนธันวาคม ดัชนี Nasdaq บวก 2.6% โดยได้แรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของหุ้น Tesla และ Alphabet รวมถึงการเพิ่มขึ้นของ Apple ซึ่งทำให้ผู้ผลิต iPhone เข้าใกล้มูลค่าตลาดที่ 4 ล้านล้านดอลลาร์ ส่วน ดัชนี S&P 500 ลดลง 1% และดัชนีดาวโจนส์ลดลงราว 4.3%
หุ้นที่ปรับขึ้นในอันดับต้นๆ 45 รายในดัชนี S&P 500 ล้วนปิดลดลงในวันศุกร์
การปรับขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลในสัปดาห์นี้กดดันหุ้น โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้นมาที่ 4.627% หลังจากที่แตะระดับสูงสุดในรอบ 7 เดือนนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคมในช่วงก่อนหน้า
อัตราผลตอบแทนที่สูงขึ้นถือเป็นปัจจัยกดดันหุ้น growth stock เนื่องจากทำให้ต้นทุนการกู้ยืมในการขยายธุรกิจเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะหุ้นเทคโนโลยี ที่มีมูลค่าตลาดสูง( megacaps) ที่เรียกว่าMagnificent Seven ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญของการพุ่งขึ้นของตลาดในปี 2024 ก็ถูกเทขายออกเช่นกัน
หุ้น Teslaนำการลดลงของกลุ่มเป็นวันที่สองติดต่อกัน โดยลดลง 5% หุ้น Nvidia ลดลง 2.1% ขณะที่ Alphabet, Amazon.com และ Microsoft ต่างร่วงลงมากกว่า 1.5%
ไมเคิล เรย์โนลด์ รองประธานฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนของ Glenmede กล่าวว่า มีการทำกำไรค่อนข้างมากทั่วทั้งกระดาน ตลาดอยู่ในภาวะตลาดกระทิงที่แข็งแกร่งมากว่าสองปีแล้ว ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่จะเห็นนักลงทุนบางส่วนทำกำไรและปรับพอร์ตการลงทุนใหม่ก่อนปีใหม่
นอกจากนี้ ตอนนี้ต้นทุนการเงินสูงขึ้น เมื่อใดก็ตามที่อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น และเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงเดือนที่ผ่านมา นักลงทุนอาจแค่ประเมินโอกาสที่จะทำผลตอบแทนจากต้นทุนเงินที่สูงขึ้น และอาจประเมินมูลค่าบางส่วนของกลุ่ม Magnificent Seven อีกทั้งมองว่าจะสามารถหาหุ้นที่มีมูลค่าที่ดีกว่าจากกลุ่มอื่นได้หรือไม่
หุ้นใน S&P ทั้ง 11 กลุ่มร่วงลง กลุ่มที่ลดลงมากที่สุด ได้แก่ 3 กลุ่มที่นำตลาดปรับขึ้นในปี 2024 ทั้ง กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ และกลุ่มบริการด้านการสื่อสาร ทั้งสามกลุ่มลดลงระหว่าง 1.1% ถึง 1.9% แต่ข่าวของหุ้นรายตัวช่วยต้านแรงขายหุ้นในตลาดได้
หุ้น Amedisys บริษัทให้บริการด้านสุขภาพที่บ้านเพิ่มขึ้น 4.7% ซึ่งเป็นการปรับชึ้นที่ดีที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม หลังจากบริษัทและและบริษัทประกัน UnitedHealth ได้ขยายเวลาในการปิดดีลการควบรวมกิจการมูลค่า 3.3 พันล้านดอลลาร์
หุ้น Lamb Weston บริษัทผลิตเฟรนช์ฟราย พุ่งขึ้น 2.6% หลังจากการยื่นฟ้องแสดงให้เห็นว่า Jana Partners ซึ่งเป็น activist investorกำลังทำงานร่วมกับผู้บริหารคนที่ 6 เพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในบริษัท ซึ่งอาจส่งผลให้มีการปรับเปลี่ยนในคณะกรรมการส่วนใหญ่ของบริษัท
ปริมาณการซื้อขายในสัปดาห์ที่มีวันซื้อขายน้อยต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา และมีแนวโน้มที่จะยังคงซบเซาจนถึงวันที่ 6 มกราคม
ความสนใจของตลาดอยู่ที่ รายงานการจ้างงานเดือนธันวาคมที่จะเผยแพร่ในวันที่ 10 มกราคม
ด้านตลาดยุโรปปิดบวกเป็นครั้งแรกในสามสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์และกลุ่มการเงินที่ปรับขึ้นปิดท้ายสัปดาห์ที่มีวันซื้อขายน้อยลง
ดัชนี STOXX 600 แตะระดับสูงสุดในรอบสัปดาห์และเพิ่มขึ้นประมาณ 1% ภายในหนึ่งสัปดาห์ แต่ปริมาณการซื้อขายต่ำกว่าค่าเฉลี่ยและตลาดหลายแห่งปิดทำการตลอดสัปดาห์
กลุ่ม รถยนต์ปรับขึ้นเป็นเปอร์เซ็นต์ที่มากที่สุด โดยเพิ่มขึ้น 1.4% ส่วนกลุ่มเฮลธ์แคร์เพิ่มขึ้นเกือบ 1% จากการเพิ่มขึ้น2.1%ของ หุ้น Novo Nordisk
กลุ่มธนาคารในยูโรโซนเพิ่มขึ้น 1.3% จากการปรับขึ้นของธนาคารฝรั่งเศส เช่น Credit Agricole และ BNP Paribas
แม้ ดัชนี STOXX 600 จแตะ all-time highs เมื่อต้นปีนี้ แต่การปรับขึ้นโดยรวมในปี 2024 อยู่ที่ 5.2% มาจากหลายปัจจัยผสมกัน ทั้งความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ปะปนกัน การฟื้นตัวของจีนที่ซบเซา และแนวโน้มเศรษฐกิจภายในประเทศที่ซบเซา ส่งผลให้แรงขับเคลื่อนชะลอตัวลง
กลุ่มอาหารและเครื่องดื่มซึ่งมีหุ้นบริษัทผลิตสุรารายใหญ่ที่สุดของยุโรป กำลังจะกลายเป็นภาคส่วนที่มีผลการดำเนินงานแย่ที่สุดในปีนี้ ตามมาติดๆด้วยกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์
กลุ่มธนาคารและกลุ่มประกันภัยเป็นกลุ่มที่ปรับขึ้นสูงสุดจนถึงตอนนี้
ในช่วงที่เหลือเวลาอีกเพียงไม่กี่วันก็จะถึงปีใหม่ นักลงทุนต่างจับตาสถานการณ์ ที่เกี่ยวข้องกับพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐฯ ในวันที่ 20 มกราคม โดยคาดว่านโยบายที่ประกาศไว้ของทรัมป์ จะมีผลต่อภาวะเงินเฟ้อ และอัตราภาษีนำเข้าอาจส่งผลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจของยุโรป
หุ้น Deliver Hero ของเยอรมนีร่วงลง 5.4% หลังจากที่คณะกรรมาธิการการค้าที่เป็นธรรมของไต้หวันไม่อนุมัติให้ Foodpanda ขายกิจการบริษัท Foodpanda ในไต้หวันให้กับ Uber ด้วยเกรงว่าจะทำให้มีการแข่งขันน้อยลง
ดัชนี STOXX 600 ปิดที่ 507.18 จุด เพิ่มขึ้น 3.37 จุด, +0.67%
ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 8,149.78 จุด เพิ่มขึ้น 12.79 จุด, +0.16%
ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 7,355.37 จุด เพิ่มขึ้น 72.68 จุด, +1.00
ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 19,984.32 จุด เพิ่มขึ้น 135.55 จุด, +0.68%
ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ เพิ่มขึ้น 98 เซนต์ หรือ 1.4% ปิดที่ 70.60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนือ งวดส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์ เพิ่มขึ้น 91 เซนต์ หรือ 1.2% ปิดที่ 74.17 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
———————————————————————————————————————————————————–