“ฉัตรณรงค์” ควง “พล.ต.บุญเลิศ” แถลง ปลดล็อค IFEC กลับมาเทรด

“ฉัตรณรงค์ ควง พล.ต.บุญเลิศ” 2 กรรมการที่เหลืออยู่ของ IFEC แถลงข่าวเช้าวันที่ 9 ต.ค.นี้ ร่ายยาวข้อเท็จจริงที่ถูกบิดเบือน มั่นใจหลังแถลงข่าวภายใน 4-6 เดือน ปลดล็อกหุ้น ยันตัวเองไม่มีมลทินคดีล้มละลาย เชื่อถูกดีสเครดิต

นายฉัตรณรงค์ ฉัตรภูติ กรรมการอิสระและกรรมการตรวจสอบ บริษัท อินเตอร์ฟาร์อีสท์ เอ็นเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น ( IFEC ) เปิดเผย www.Hoonsmart.com ว่า วันที่ 9 ต.ค.2561 เวลา 10.00 น. ตนและพล.ต.บุญเลิศ แจ้งนพรัตน์ กรรมการอิสระและประธานกรรมการตรวจสอบ จะแถลงข่าว ข้อเท็จจริงทั้งหมดที่ถูกบิดเบือน รวมทั้งสถานการณ์ปัจจุบันของ IFEC

นายฉัตรณรงค์ กล่าวว่า หน้าที่ของกรรมการที่เหลือ 2 คน ต้องทำหน้าที่สุดท้ายคือ การจัดให้มีการเลือกตั้งคณะกรรมการบริษัทให้ครบ 9 คน หลังจากนั้น จัดวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นที่มีวาระสำคัญเลือกกรรมการแล้ว มั่นใจใช้เวลา 4-6 เดือน ให้หุ้นกลับมาซื้อขายได้ โดยเลือกผู้สอบบัญชีรายเดิม กรินทร์ ออดิท จำกัด เพื่อจัดทำงบปี 2560, และงบปี 2561

“ผมไม่เคยเสนอตัวเป็นผู้บริหาร และอยู่ที่กรรมการชุดใหม่ จะเลือกผมหรือไม่ ผมไม่ใช่บุคคลล้มละลาย ผมอยู่ในกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้มา 30 ปี เป็นผู้บริหารระดับสูงใน AMC ยุคนั้น คนล้มละลาย ไม่สามารถเป็นแม้แต่กรรมการหรือตำแหน่งใด ๆ ในบริษัทจดทะเบียนได้ ที่ผ่านมาผมยื่นลาออกกับพล.อ.บุญเลิศ และสำนักงานก.ล.ต.แล้ว แต่ถูกยับยั้งให้รับผิดชอบหน้าที่ ตามม. 83 หากไม่ทำจะผิดม.89/7 ซึ่งผมทั้ง 2 ่คน ไม่ได้อยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เป็นกลาง สุจริต ยุติธรรม ”

นายฉัตรณรงค์ กล่าวว่า ได้ยื่นคัดค้านเจ้าหนี้ 10 ล้านบาท ญาติแท้ ๆ ของหมอวิชัย ถาวรวัฒนยงค์ ที่ยื่นขอฟื้นฟูกิจการ IFEC โดยเสนอให้นายศุภนันท์ ฤทธิไพโรจน์ อดีตผู้บริหารที่ถูกกล่าวโทษความผิดใช้ข้อมูลภายใน เป็นผู้บริหารแผน

นายฉัตรณรงค์ ให้เหตุผล 4-5 ประการ ที่ IFEC ไม่มีเหตุผลต้องฟื้นฟูกิจการ คือ 1. IFEC มีทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน 4-5 พันล้านบาท 2. มูลหนี้ตามข้อเรียกร้องของเจ้าหนี้ที่ยื่นฟ้องล้มละลาย มีเพียง 10 ล้านบาท 3. เจ้าหนี้ส่วนใหญ่ มูลหนี้รวมดอกเบี้ย 8,000 ล้านบาท ไม่ได้ยื่นฟ้อง เพราะยังหวังได้เงินคืน ซึ่งเป็นข้อสำคัญ ที่ศาลจะพิจารณาประกอบกับข้อ 1-2

ประการที่ 4 ผมและกรรมการที่เหลือ ได้คัดค้านไม่ฟื้นฟูกิจการ ถือเป็นประเด็นสำคัญที่สุด เนื่องจากเห็นว่า บริษัทสามารถเดินหน้าบริหารงานต่อไปได้ และ 5 ผู้ถือหุ้นรายย่อยจำนวนมากเกือบ 3 หมื่นคน ได้รับความเดือดร้อน