นักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน ยังมีมุมมองบวกต่อตลาดหุ้นไทย มั่นใจไตรมาสสุดท้ายอยู่ในขาขึ้น ให้เป้าหมายเฉลี่ย 1,818 จุด ลงลึกสุดแค่ 1,688 จุด นายกสมาคม บลจ. คาดสิ้นปีมีเงินรอซื้อ LTF-RMF อีก 4-5 หมื่นล้านบาท
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการและกรรมการ ผู้อานวยการสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน กล่าวว่า จากการสำรวจความเห็นของนักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนต่อดัชนีเป้าหมายในสิ้นปี 2561 พบว่า มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,818 จุด โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ประเมินว่า ดัชนีสิ้นปีจะอยู่ที่ 1,800-1,850 จุด และไม่มีรายใดที่ประเมินต่ำกว่า 1,700 จุด
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี นักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุนคาดว่า ดัชนีหุ้นไทยจะมีจุดต่ำสุดเฉลี่ยอยู่ที่ 1,688 จุด โดยมี 30% ที่ประเมินว่าจุดต่ำสุดจะลงไปต่ำกว่า 1,650 จุด
“ขณะที่จุดสูงสุดของของ SET Index ช่วงที่เหลือของปี 2561 เฉลี่ยอยู่ที่ 1,826 จุด โดยมี 45.45% คาดว่าดัชนีจะทำจุดสูงสุดที่ 1,801-1,850 จุด และ 15% คาดว่าจะขึ้นสูงกว่า 1,851 จุด” นายสมบัติ กล่าว
ปัจจัยบวกที่จะส่งผลต่อหุ้นไทยในช่วงที่เหลือของปีมี 2 ปัจจัยหลัก ได้แก่ ปัจจัยทางการเมืองในประเทศ แนวโน้มการเลือกตั้ง และเศรษฐกิจภายในประเทศ รวมถึงผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน ขณะที่เงินลงทุนจากต่างชาติมีเพียง 50% เท่านั้นที่มองว่าจะเป็นปัจจัยบวก
ปัจจัยลบต่อตลาดทุนไทย ซึ่งมีเพียง 2 ปัจจัยที่มีคะแนนโหวตมากกว่า 50% ได้แก่ ปัจจัยด้านเศรษฐกิจต่างประเทศ ทั้งอเมริกา ยุโรป เอเชีย รองลงมาคือ ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐอเมริกา (FED) และเป็นที่น่าสังเกตว่า ปัจจัยดอกเบี้ยในประเทศไม่มีผลต่อทิศทางราคาหุ้น
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์และผู้จัดการกองทุน คาดกําไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของตลาดเฉลี่ยที่ 109.31 บาท ผู้ตอบส่วนใหญ่คาดการณ์อยู่ที่ 105 – 109.99 บาท ขณะที่ EPS Growth เฉลี่ยอยู่ที่ 9.39% และ Forward P/E สำหรับปี 2561 เฉลี่ยอยู่ที่ 16.18 เท่า
นายวศิน วณิชย์วรนันต์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กสิกรไทย ในฐานะนายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน กล่าวว่า ในแต่ละปีจะมีเงินเข้ามาลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ประมาณ 7-8 หมื่นล้านบาท ซึ่งในช่วง 8 เดือนแรกมีเงินเข้ามาแล้ว 3.32 หมื่นล้านบาท จึงเชื่อว่าในสิ้นปีจะมีเงินเข้ามาอีก 4-5 หมื่นล้านบาท
นายวีระ วุฒิคงสิริกูล รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานจัดการลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) กรุงไทย (KTAM) กล่าวว่า บริษัทฯ ยังมั่นใจว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปลายปี 2561 น่าจะไปถึงเป้าหมายที่มองไว้ 1,780 จุดได้ ถึงแม้จะมีแรงขายหุ้นจากนักลงทุนต่างชาติออกจากตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นกลุ่มประเทศเกิดใหม่ (EM) ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา
“เรื่องเฟดขึ้นดอกเบี้ยมองว่าตลาดรับรู้ข่าวกันดีอยู่แล้ว แต่แรงขายของต่างชาติที่ออกมามากๆ เกิดจากบอนด์ยิลด์สหรัฐอายุ 10 ปีที่ปรับตัวขึ้นสูงมาก กองทุนตราสารหนี้เองก็ได้รับผลกระทบจากการมาร์คทูมาร์เก็ตหรือการบันทึกบัญชีตามราคาตลาด ณ สิ้นวัน ทำให้นักลงทุนขายปรับพอร์ตทั้งหุ้นและตราสารหนี้ เพื่อลดความเสี่ยง แต่เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาสถานการณ์ก็เริ่มนิ่งแล้ว” นายวีระ กล่าว
อย่างไรก็ตาม สำหรับประเทศไทยยังมีปัจจัยภายในประเทศสนับสนุน โดยกำไรบริษัทจดทะเบียนในปีนี้คาดว่ายังขยายตัว 10% ประกอบกับเม็ดเงินจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่ลงทุนในหุ้นจะเข้าซื้อหุ้นในไตรมาส 4 และหนาแน่นในช่วงปลายปี จึงมั่นใจว่าตลาดหุ้นไทยไปต่อได้ตามเป้าหมาย รวมถึงการเลือกตั้งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนก.พ.ปีหน้าจะสนับสนุนให้ดัชนีไปได้ถึง 1,800 –1,820 จุด ในไตรมาส 1 ปี 2562
นายวีระ กล่าวว่า ตอนนี้ตลาดหุ้นไทยไม่ถูกหรือแพงจนเกินไป กลุ่มที่แนะนำในช่วงนี้น่าจะเป็นกลุ่มที่เน้นความปลอดภัยจากภาพรวมตลาดทั่วโลกที่ผันผวน ได้แก่ กลุ่ม Defensive และกลุ่มที่มีการจ่ายเงินปันผลสูงสม่ำเสมอ เพราะเวลาตลาดหุ้นลงแรงๆ หุ้นเหล่านี้ก็ยังมีการจ่ายเงินปันผลที่ดี ส่วนหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งมองว่าตอนนี้ตอบรับข่าวไปแล้ว คงต้องรอให้มีเม็ดเงินเข้าระบบตามกำหนเวลาที่พรรคการเมืองสามารถใช้เงินหาเสียงได้ ก็จะเริ่มพิมพ์ป้าย โปสเตอร์หาเสียงต่างๆ น่าจะเกิดขึ้นช่วงเดือนธ.ค. ก็น่าจะทำให้หุ้นทีได้ประโยชน์จากการเลือกตั้งคึกคักอีกรอบ
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นน่าจะแกว่งตัวช่วงแคบๆ การปรับขึ้นน่าจะจำกัด แต่ในปีนี้อาจจะจะมีโอกาสเห็นดัชนีตลาดหลักทรัพย์ถึง 1,800 จุด มีตัวแปร 2 เรื่องสำคัญ จุดเปลี่ยนแรกน่าจะเกิดขึ้นในเดือนธ.ค. หากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณการปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้าเพียง 2 ครั้ง ลดลงจากเดิมที่ประกาศว่าจะปรับขึ้น 3 ครั้ง โดยในปีนี้จะมีการปรับขึ้นอีกครั้งในเดือนธ.ค.นี้ และกรณีการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐ พรรคเดโมแครตได้เสียงข้างมากในสภาล่าง
ส่วนกลุ่นหุ้นทื่น่าสนใจ คือบริษัทที่มีรายได้จากในประเทศ อาทิ ค้าปลีก นำโดย CPALLเพราะผู้มีรายได้น้อย และเกษตรกรมีรายได้มากขึ้น รวมถึงกลุ่มสื่อ VGI และกลุ่มขนส่ง ทั้ง BTS และ BEM น่าสนใจ เพราะรัฐเร่งลงทุนระบบขนส่งมวลชน รถไฟฟ้า
สำหรับกลุ่มปิโตรเคมีและพลังงาน ยังจะต้องรอให้ราคาปรับลดลงมาก่อน หลังจาก 9 เดือนแรกปรับขึ้นมามาก
อ่านประกอบ
FETCO เผยดัชนีเชื่อมั่นนักลงทุน อยู่ในโซนร้อนแรงครั้งแรกในรอบ 7 เดือน
“ไพบูลย์” ชี้เงินต่างชาติเน้นเล่นสั้น คาดเงินระยะยาวจะมาหลัง พ.ย.