บลจ.วรรณมองเป้า SET ปี 66 ที่ 1,780 จุด เลือกตั้ง-ท่องเที่ยวหนุนโดดเด่นกว่าตปท.

HoonSmrt.com>> บลจ.วรรณ มองหุ้นไทยปี 66 มีโอกาสถึง 1,780 จุด แรงหนุน “เลือกตั้ง-ท่องเที่ยว” ท่ามกลางกังวลเศรษฐกิจถดถอยในต่างประเทศ แนะเน้นหุ้นพื้นฐานเกี่ยวกับการบริโภค ด้านลงทุนต่างประเทศมอง “พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ” น่าสนใจ ผลตอบแทนใกล้เคียงประมาณ 4% ต่อปี หมาะสำหรับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน

มณฑล จุนชยะ

นายมณฑล จุนชยะ ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) วรรณ กล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนในปี 2566 ลงทุนในประเทศไทย ยังคงมีปัจจัยที่ต้องติดตาม โดยปัจจัยแรก คือ ภาวะเงินเฟ้อของสหรัฐ ฯ ที่น่าจะเริ่มอิ่มตัว แต่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED น่าจะยังมีต่อเนื่องไปถึงต้นไตรมาส 2/66 โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ประมาณ 5% +/- และคงอัตราดอกเบี้ยไว้จนถึงปี 2567

ปัจจัยที่สอง เรื่องนโยบายของประเทศจีน ซึ่งมองว่าทางการจีนควรจะเริ่มทยอยผ่อนคลายมาตรการ Zero – Covid และอาจจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วย ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนก่อนไตรมาส 2/66 ทั้งนี้ จะถือเป็นผลบวกกับภาคการท่องเที่ยวของไทยและค่าเงินบาท

อีกปัจจัยที่สำคัญโดยเฉพาะประเทศไทยคือ การจัดการเลือกตั้งทั่วไปในช่วงไตรมาส 2/66 โดยมองว่าจะเป็นผลดีต่อภาพการลงทุน ซึ่งส่วนใหญ่ในช่วงเดือนแรกหลังการเลือกตั้งตลาดหุ้นจะตอบรับในเชิงบวก จากปัจจัยเหล่านี้จะเห็นว่าในช่วง ครึ่งปีแรกของปี 2566 ภาพการลงทุนมีแนวโน้มค่อนข้างดีสำหรับประเทศไทย โดยมองเป้าหมาย SET INDEX ที่ 1,780 จุด มีค่า PE อยู่ที่ 16 เท่า ขณะที่สถานการณ์ต่างประเทศอาจจะมีความกังวลในเรื่องของภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศเป็นได้แค่เทรดดิ้งเท่านั้น

“ตลอดปีที่ผ่านมาภาพการลงทุนหลักๆค่อนข้างมีปัจจัยลบ ทั้งการปรับตัวสูงขึ้นของอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ และกลุ่มประเทศยุโรป ภาวะสงครามระหว่างรัสเซีย กับยูเครน รวมทั้ง นโยบาย Zero – Covid ของประเทศจีน ซึ่งกลุ่มประเทศเหล่านี้ คิดรวมแล้วมีน้ำหนักเกือบครึ่งหนึ่งของ GDP โลก ทำให้ GDP โลกปีนี้ โตประมาณ 3.2% และยังจะส่งผลต่อเนื่องทำให้ GDP โลกปี 2566 จะขยายตัวแค่ 2.7% จากประเด็นปัญหาข้างต้นทำให้ราคาสินทรัพย์ทั่วโลกปรับตัวลดลง อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ หุ้นเทคโนโลยี และ หุ้นเมกกะเทรนด์ ที่เคยโดดเด่นมาตลอดในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมา ต่างก็ปรับตัวลดลงกว่า 20% อาจจะพูดได้ว่าสินทรัพย์ส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดไม่สามารถสร้างผลตอบแทนเกินกว่าค่าเฉลี่ยอัตราเงินเฟ้อของโลกที่ 8.8% ได้” นายมณฑล กล่าว

สำหรับตลาดหุ้น ซึ่งคาดการณ์ผลตอบแทนกันอยู่ไม่ถึง 10% เนื่องจากผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนทั่วโลกเติบโตไม่มาก ทำให้การลงทุนในหุ้นอาจจะมองให้ยาวขึ้นเป็นระดับ 6-12 เดือน เน้นหุ้นพื้นฐานดีที่เกี่ยวกับการบริโภค ตลาดหุ้นไทยยังน่าสนใจอยู่เพราะมีปัจจัยเฉพาะตัวเช่นเลือกตั้ง และการท่องเที่ยว

ในส่วนของตลาดต่างประเทศ บริษัทมองว่า ตลาดหุ้นจีนน่าสนใจเรื่องผ่อนคลายนโยบาย Zero – Covid ขณะที่ตลาดหุ้นสหรัฐอาจจะมีจังหวะในช่วงที่ FED ปรับมุมมอง โดยมองว่าอาจจะยังไม่เห็นท่าทีที่ชัดเจนในช่วงต้นปี สำหรับสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ เช่น ทองคำอาจจะได้ผลบวกบ้างจากการอ่อนค่าของเงินสหรัฐฯ สำหรับการลงทุนในกองทุนทางเลือกอย่างอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIT ยังมีแนวโน้มทรงตัว ซึ่งน้ำหนักการลงทุนมองว่า เป็นเรื่องของวัตถุประสงค์ของรายบุคคลมากกว่า ยังไม่มีปัจจัยแวดล้อมที่ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัย

ทั้งนี้ สินทรัพย์ที่น่าสนใจอีกประเภท คือ พันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐฯ (US Government Bond รุ่น อายุ 3-5 ปี) ที่ให้ผลตอบแทนใกล้เคียงประมาณ 4% ต่อปี ซึ่งเป็นผลตอบแทนระยะกลางที่ดีเหมาะสำหรับภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน

อ่านข่าว

บลจ.วรรณตั้งเป้า AUM ปี 66 โตอย่างต่ำ 10% คว้าบริหารไพรเวทฟันด์รสก. 3 หมื่นล.