“กรุงศรี” คาดเงินบาทสัปดาห์นี้กรอบ 35.60-36.35 จับตาประธานเฟด

HoonSmart.com>> “กรุงศรี” คาดเงินบาทสัปดาห์นี้ซื้อขายในกรอบ 35.60-36.35 บาท/ดอลลาร์ จับตาประธานเฟด

กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา (BAY) มีมุมมองต่อทิศทางค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ ว่า เงินบาทสัปดาห์นี้มีแนวโน้มเคลื่อนไหวในกรอบ 35.60-36.35 บาท/ดอลลาร์ เทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทปิดอ่อนค่าเล็กน้อยที่ 35.77 บาท/ดอลลาร์ หลังซื้อขายในช่วง 35.57-36.30 บาท/ดอลลาร์ เงินดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินสำคัญส่วนใหญ่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังรายงานประชุมเมื่อวันที่ 1-2 พ.ย. ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) บ่งชี้ว่าผู้กำหนดนโยบายส่วนใหญ่เห็นสมควรที่จะชะลอความเร็วในการปรับขึ้นดอกเบี้ยในไม่ช้านี้

ขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯปรับตัวรับดอกเบี้ยที่สูงขึ้น และเฟดเริ่มหารือกันเรื่องความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางการเงินและเศรษฐกิจจากการเร่งคุมเข้มนโยบาย โดยรายงานการประชุมสะท้อนว่าสิ่งที่สำคัญกว่าขนาดการปรับขึ้นดอกเบี้ยในอนาคต คือ การที่เฟดเริ่มมุ่งความสนใจไปยังประเด็นที่ว่าจำเป็นจะต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยสู่ระดับใดเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ อีกทั้งเฟดประเมินว่าโอกาสที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 66 นั้นเกือบที่จะเท่ากับโอกาสของกรณีฐาน

ทั้งนี้ เงินดอลลาร์แคนาดาอ่อนค่าลงขณะที่ราคาสัญญาล่วงหน้าน้ำมันดิบ WTI ร่วงลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่สิ้นปี 64 ท่ามกลางความวิตกต่อแนวโน้มอุปสงค์จากจีนและเศรษฐกิจโลก ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทยมูลค่า 5,388 ล้านบาท แต่มียอดขายพันธบัตรสุทธิ 11,665 ล้านบาท

สำหรับสถานการณ์ในสัปดาห์นี้ กลุ่มงานโกลบอลมาร์เก็ตส์ กรุงศรี มองว่า นักลงทุนจะติดตามความเห็นประธานเฟด รวมถึงข้อมูลค่าใช้จ่ายผู้บริโภคและการจ้างงานของสหรัฐฯ เพื่อประเมินทิศทางการดำเนินนโยบายของเฟดต่อไป โดยเราคาดว่าประธานเฟดจะยังคงสื่อสารว่าเฟดให้น้ำหนักต่อการต่อสู้กับภาวะเงินเฟ้อสูงเป็นอันดับแรกและพยายามลดการคาดการณ์ของตลาดที่ว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยก่อนสิ้นปี 2566

นอกจากนี้ ความเสี่ยงเกี่ยวกับภาวะการแพร่ระบาดของ COVID-19 สู่จุดสูงสุดใหม่และการประท้วงในวงกว้างต่อมาตรการควบคุมโรคที่เข้มงวดในจีนอาจทำให้ค่าเงินดอลลาร์ฟื้นตัวขึ้นขณะที่ราคาสินทรัพย์เสี่ยงถึงรอบปรับฐานลง

สำหรับปัจจัยในประเทศ คาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.)จะมีมติขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% เป็นครั้งที่สามติดต่อกันสู่ระดับ 1.25% ในการประชุมวันที่ 30 พ.ย. ขณะที่ตลาดจะจับตาการประเมินภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อของผู้ดำเนินนโยบายซึ่งคาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะแตะระดับสูงสุดภายในต้นปี 2566