กสิกร ฯ ให้รอซื้อแถว 1,700 จุด ค่าเงินจ่อแตะ 33 บาท

ค่ายกสิกรไทยมองหุ้นสัปดาห์หน้า มีแนวรับ 1,705 และ 1,690 หลังทรุด 2.04% จับตาผลกำไรบจ.ไตรมาส 3 ส่วนแนวโน้มค่าเงินคาดเคลื่อนไหวในกรอบ 32.60-33.00 บาท จากสัปดาห์ก่อนอ่อนมากถึง 0.50 บาท

บล.กสิกรไทยคาดแนวโน้มตลาดหุ้นในสัปดาห์ถัดไป (8-12 ต.ค.) ว่าดัชนีฯมีแนวรับที่ 1,705 และ 1,690 จุด ขณะที่แนวต้านอยู่ที่ 1,730 และ 1,740 จุด ตามลำดับ

ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไตรมาส 3/2561 ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาผู้ผลิตและดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนก.ย. ตลอดจนถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดระดับสูง ขณะที่ ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือน ส.ค. และดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนก.ย. ของประเทศแถบยุโรป

“สัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีฯปิดที่ 1,720.52 จุด ลดลง 2.04% จากสัปดาห์ก่อน ท่ามกลางมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันเพิ่มขึ้น 12.19% มาที่ 57,388.09 ล้านบาท ส่วนตลาดหลักทรัพย์ mai ปิดที่ 449.37 จุด ลดลง 1.54% ”

ตลาดหุ้นได้รับแรงกดดันจากหลากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นความกังวลเกี่ยวกับข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ความเปราะบางของประเทศกลุ่มตลาดเกิดใหม่ หลังราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น รวมถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ที่แตะระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันเพิ่มเติมจากแนวทางการกำกับสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ประกาศโดยธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)

ส่วนแนวโน้มค่าเงินบาทสำหรับสัปดาห์ถัดไป (8-12 ต.ค.) ธนาคารกสิกรไทยประเมินกรอบการเคลื่อนไหวอยู่ที่ 32.60-33.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ต้องติดตามปัจจัยผลประกอบการบจ.ไตรมาส 3/2561 และสัญญาณเงินทุนเคลื่อนย้ายของนักลงทุนต่างชาติ รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ

นอกจากนี้ ตลาดอาจรอติดตามถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟด ผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางสิงคโปร์ รวมถึงข้อมูลเศรษฐกิจเดือนก.ย.ของจีนด้วยเช่นกัน

” ค่าเงินบาทอ่อนตัวลงในสัปดาห์เดียวถึง 0.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ วันที่ 5 ต.ค.มาปิดที่ระดับ 32.85 บาทจากระดับ 32.35 บาทในวันศุกร์ก่อนหน้า (28 ก.ย.)”

เงินบาทอ่อนค่าทดสอบแนว 32.85 บาทต่อดอลลาร์ฯ สอดคล้องกับทิศทางของสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค และสถานะขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติ ขณะที่ ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แข็งแกร่งกว่าที่คาด อาทิ ตัวเลขดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคบริการ ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชน เป็นปัจจัยบวกของค่าเงินดอลลาร์ฯ และหนุนให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี