PCC ผู้นำ Smart Grid ครบวงจร ชูธุรกิจลูกผสม-หุ้นเติบโตยั่งยืน

HoonSmart.com>>พรีไซซ คอร์ปอเรชั่น (PCC)  ไอพีโอน้องใหม่ป้ายแดง พร้อมเข้าซื้อขายในตลาด SET วันที่ 21 ต.ค.นี้ ประสบความสำเร็จเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO ) จำนวน 307 ล้านหุ้น ราคาเสนอขาย 4 บาท / หุ้น ชูวิสัยทัศน์  สร้างเทคโนโลยี-จุดพลังแห่งความรุ่งเรืองร่วมกัน  

 รู้จักบริษัท PCC

ธุรกิจในกลุ่มบริษัทฯ เริ่มก่อตั้งในปี 2528 ภายใต้ชื่อบริษัท พีเควี เทรดดิ้งจำกัด  ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท  ประกอบธุรกิจซื้อมา-ขายไป อุปกรณ์ไฟฟ้า , นายหน้าและตัวแทน นำเข้าและส่งออกเครื่องจักร เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ไฟฟ้าแรงสูงและแรงต่ำ

ต่อมาในปี 2531 กลุ่มวิศวกรที่มีประสบการณ์ด้านระบบไฟฟ้าประกอบด้วย นายกิตติ สัมฤทธิ์ นายกิตติ ณัฐชยางกุล และนายสุธี จุฬานุตรกุล (“กลุ่มผู้ก่อตั้ง”) ได้เข้ามาบริหารและปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัท พีเควี เทรดดิ้ง จำกัด จากนั้นในปี 2536 บริษัท พีเควี เทรดดิ้ง จำกัด ได้เปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท พรีไซซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล คอร์ปอเรชั่น จำกัด

ต่อมาในปี 2557 ปรับโครงสร้างองค์กรให้เป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) เพื่อเตรียมการนำหุ้นของบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ และเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท พรีไซซ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (PCC)

จุดเด่น PCC ..หุ้นเติบโตยั่งยืน 

กิตติ สัมฤทธิ์

นายกิตติ สัมฤทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ และเป็น 1 ในผู้ร่วมก่อตั้ง วิศวะเครื่องกลจุฬา ฯ ที่เคยร่วมงานกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคร่วม 10 ปี เมื่อลาออกมาประกอบธุรกิจเทรดดิ้ง อุปกรณ์ไฟฟ้า  จัดตั้ง PCC เติบโตต่อเนื่อง  กล่าวถึง จุดเด่น PCC การเป็นโฮลดิ้งส์ ที่มีบริษัทย่อยถึง 6 บริษัท และมีธุรกิจ 30 หน่วย เป็นผู้นำสมาร์ทกริตของประเทศไทย ด้วยประสบการณ์กว่า 30 ปี มีความเชี่ยวชาญเทคโนโลยี

นอกจากอุปกรณ์ไฟฟ้าแล้ว การลงทุนธุรกิจโรงไฟฟ้าชีวมวล รับรู้รายได้เชิงพาณิชย์ 25 เมกะวัตต์ รวมทั้งธุรกิจรับก่อสร้างสถานีไฟฟ้าแรงสูง โดยเฉพาะ PCC เป็นบริษัทคนไทยแท้รายเดียวของไทย ที่สร้างสถานีไฟฟ้าย่อย ขนาด 500 KV การมีธุรกิจหลายหลาย ถือเป็นจุดเด่นสร้างรายได้ให้บริษัท มีกินได้ทุกวันนี้ กิตติ กล่าวด้วยความปลื้มปิติ

“ด้วยผลิตภัณฑ์อุปกรณ์ไฟฟ้า จำนวนมาก และการมีเทคโนโลยีซัพพอร์ต ทำให้พรีไซซ รับมือและปรับตัวได้เร็ว สามารถอยู่รอดได้ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของโลกเทคโนโลยี ทำให้รักษายอดขายและมาร์จิ้นได้ ด้วยประสบการณ์และผลิตภัณฑ์ ตลอดจนธุรกิจของกลุ่มพรีไซซ ทำให้เราเป็นบริษัทแถวหน้าการประมูลทุกงานการไฟฟ้า “

ส่วนโครงการลงทุนปลูกธุรกิจไผ่ ที่อ.ศรีเทพ เพชรบูรณ์  เป็นโรงผลิตกล้าไผ่ สนับสนุนชาวบ้านปลูกไผ่ ซึ่งบริษัท ฯ มีโครงการสร้างโรงงานบรรจุภัณฑ์ปลอดเคมีจากเยื่อไผ่ โดยทุกแพลตฟอร์มของธุรกิจ มีเป้าหมายลดโลกร้อน

ด้วยวิสัยทัศน์ของผู้นำบริษัท การสร้างเทคโนโลยี การจุดพลังแห่งความรุ่งเรืองร่วมกัน ทำให้ “กิตติ” และแนวทางกลุ่ม PCC จึงเป็นมิตรกับทุกบริษัท ไม่เชือดเฉือนราคาประมูล เน้นการขายเป็นหลัก , แข่งกันที่ความสามารถ , ดูแลระบบหลังการติดตั้ง และเน้นรายได้ประจำสม่ำเสมอจากธุรกิจขายไฟฟ้า ดังนั้นหุ้นของ PCC เหมาะเป็นหุ้นเติบโตยั่งยืน

โบรก ฯ เคาะราคาเหมาะสม 4.76 บ.

บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย หุ้นสามัญเพิ่มทุนของ บริษัท พรีไซซ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PCC มองแนวโน้มผลประกอบการ PCC เติบโตดี กำไรโตเฉลี่ย 25.4% เปรียบเทียบหุ้นกลุ่มเดียวกันทั้ง GUNKUL, QTC, TRT, DEMCO, ACE และ SSP ทำให้ PCC มีราคาหุ้นเหมาะสมที่ 4.76 บาท ค่า P/E 15.8 เท่า

นายปาลธรรม เกษมทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวาณิชธนกิจ ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ที่ปรึกษาทางการเงิน PCC  กล่าวว่า ราคาขายไอพีโอ  4 บาท กำหนดเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันที่ 21 ตุลาคม 2565 กลุ่มพลังงาน

บทวิเคราะห์โดยบล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี คาดการณ์ว่า PCC จะมีกำไรสุทธิเติบโตเฉลี่ย 25.4% CAGR ในปี 2564-2567 จากโครงการในอนาคตที่การไฟฟ้ามีแผนจะปรับโครงข่ายระบบไฟฟ้าทั่วประเทศ รวมถึง Backlog ของงานที่ถูกเลื่อนการตรวจสอบเนื่องจากการแพร่ระบาดของโควิด-19

ปี 2563 รายได้จากการดำเนินงานของ PCC อยู่ที่ 4,047 ล้านบาท และปรับตัวลงในปี 2564 อยู่ที่ 3,623 ล้านบาท ขณะที่ในงวด 6 เดือน 2565 บริษัท มีรายได้จากการดำเนินงานอยู่ที่ 1,726 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวด 6 เดือน 2564 ที่มีรายได้อยู่ที่ 1,498 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโต 15% yoy

สำหรับการเติบโตในระยะยาว CGSCIMB คาดว่ารายได้สำหรับปี 2565-2567 ของ PCCจะอยู่ที่ 4,567 ล้านบาท 4,692 ล้านบาท และ 4,790 ล้านบาท ตามลำดับ เพิ่มขึ้นจากโครงการในอนาคตที่การไฟฟ้ามีแผนจะปรับโครงข่ายระบบไฟฟ้าทั่วประเทศ รวมถึง Backlog ของงานที่ถูกเลื่อนการตรวจสอบ

 แนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้น

อัตรากำไรขั้นต้นของ PCC ในปี 2564 อยู่ที่ 31.5% ลดลงจากปี 2563 ที่ 33.6% เนื่องจากบริษัทฯ มี Fixed cost ของงาน EPC รวมถึงราคาเหล็กที่เพิ่มสูงขึ้นจากสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในหลาย ๆ ประเทศทั่วโลก โดยคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทจะยังทรงตัวอยู่ในระดับ 30.5-31.2% ในปี 2565-2567 เนื่องจาก EGAT ได้มีการปรับราคากลางสินค้าขึ้นมาระดับหนึ่งตามการขึ้นราคาของวัตถุดิบ จึงทำให้ต้นทุนของวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรขั้นต้นอย่างมีนัยสำคัญ

CGS-CIMB ประเมินมูลค่าของ PCC ด้วยวิธี P/E multiple โดยใช้ P/E เฉลี่ยที่เป้าหมายในปี 2566 ของ GUNKUL, QTC, TRT, DEMCO, ACE และ SSP เนื่องจาก บริษัทฯ เหล่านี้มีลักษณะการประกอบธุรกิจที่ใกล้เคียงกับบริษัทในเครือของ PCC โดย average ของค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี ตลาดให้ Forward P/E ที่ 15.8 เท่า เราจึงคาดว่า P/E เป้าหมายที่เหมาะสมอยู่ที่ค่าเฉลี่ยที่ 15.8 เท่า

จากสมมติฐานหลักในปี 2566 หลังสถานการณ์การระบาดของ COVID-19 เริ่มคลี่คลายลง ทำให้โครงการภาครัฐกลับมาดำเนินกิจกรรมปกติ และแผนงานที่จะพัฒนาระบบโครงข่ายไฟฟ้า

ทั้งหมดในประเทศ จะช่วยเพิ่มยอดขายให้บริษัทในปี 2566 ที่ 4,692 ล้านบาท เติบโต 2.7% และ EPS อยู่ที่ 0.30 บาท เมื่อคำนวณกับระดับ P/E เป้าหมายของเราที่ 15.8 เท่า เราจะได้ราคาเป้าหมายในปี 2566 ของ PCC อยู่ที่ 4.76 บาท

สำหรับ PCC ประกอบธุรกิจโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ประกอบด้วยสายธุรกิจหลัก 3 กลุ่ม ดังนี้ 1.กลุ่มธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ในระบบจำหน่ายไฟฟ้า งานบริหารโครงการ งานบริการ งานบำรุงรักษาระบบไฟฟ้าทั้งแรงต่ำและแรงสูงขนาดไม่เกิน 115 kv และระบบบริหารจัดการพลังงานให้มีประสิทธิภาพ

2.กลุุ่มธุรกิจรับเหมาก่อสร้างสถานีไฟฟ้าแรงสูงและสายส่งไฟฟ้าแรงสูง พร้อมผลิตติดตั้งระบบควบคุมสำหรับระบบไฟฟ้าอัจฉริยะ และผลิตมิเตอร์อัจฉริยะ และ 3.กลุ่มธุรกิจลงทุนผลิตและจำหน่ายกระแสไฟฟ้าจากพลังงานทดแทน และผลิตเชื้อเพลิงจากพืชพลังงาน และธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

โครงสร้างรายได้  จำหน่ายหม้อแปลงไฟฟ้าระบบจำหน่าย , อุปกรณ์ไฟฟ้าระบบจำหน่าย , หม้อแปลงเครื่องมือวัด ตู้สวิตซ์เกียร์ สวิตซ์บอร์ด 40.2% ของรายได้รวม , รายได้ก่อสร้าง (EPC) สถานีไฟฟ้าแรงสูง , EPC สายส่งแรงสูง 44.7%  และรายได้ธุรกิจโรงไฟฟ้า 10.8%

ผลประกอบการล่าสุดในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทฯมีรายได้รวม 1,727 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 15.3 จากปีก่อนที่มีรายได้ 1,498 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 134 ล้านบาท เติบโตร้อยละ 67.5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 80 ล้านบาท