ITC เบอร์ 1 ผู้ผลิต ‘อาหาร-ขนม’ แมว-สุนัขของไทย รายได้หรู อัตรากำไรสุทธิสูงสองหลักยั่งยืน

HoonSmart.com>>บริษัท ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ITC ผู้นำอุตสาหกรรมการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงระดับโลก โดยเฉพาะอาหารแมวแบบเปียก ที่มีตลาดขนาดกว่า 23,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2564 และคาดว่าอัตราการเติบโตดีกว่าอาหารแบบแห้งเกือบ 1 เท่าตัว ที่สำคัญสร้างกำไรสูง ผสมผสานกับความแข็งแกร่งรอบด้านของบริษัท ทำให้สามารถรักษาอัตรากำไรสุทธิสองหลักได้อย่างมั่นคง เห็นได้จากผลงานในช่วง 6 เดือนแรกปี 2565 มีกำไรสุทธิ 2,257 ล้านบาท เติบโตถึง 40% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิประมาณ 23% และคาดว่าจะสามารถนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ภายในปลายปีนี้ ซึ่งจะยิ่งเสริมเขี้ยวเล็บมากขึ้น สนับสนุนให้ ITC เป็นหุ้นในดวงใจของนักลงทุนในระยะยาว

 

ITC เป็นแกนนำในการประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์เลี้ยงของกลุ่มไทยยูเนี่ยน (TU) ได้ใช้ประสบการณ์ประมาณ 45 ปี ในการพัฒนาและขยายธุรกิจไปสู่ระดับโลก ด้วยการวางโมเดลธุรกิจที่โดดเด่น ครอบคลุมทั้งรับจ้างผลิตสินค้า (OEM) เกี่ยวกับอาหารสัตว์เลี้ยงอย่างครบวงจรให้กับแบรนด์ชั้นนำระดับโลก และการผลิต ภายใต้ตราสินค้าของ ไอ-เทล เอง เช่น Bellotta อาหารและขนมเกรดพรีเมียมสำหรับแมว

บริษัทเลือกจุดยืนธุรกิจที่แข็งแรง พุ่งเป้าสู่การเป็นผู้นำ “ผลิตภัณฑ์อาหารแมวแบบเปียก” รวมผลิตภัณฑ์ 3,826 ชนิด คิดเป็นประมาณ 90% จากผลิตภัณฑ์ทั้งหมด 4,809 ชนิด ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2565 ซึ่งปัจจุบันประชากรแมวมีมากกว่าสุนัข จากข้อมูลของ Frost & Sullivan มีการคาดการณ์ว่าในปี 2564-2569 อาหารแมวทั่วโลกจะเติบโตเฉลี่ย 8.2% ต่อปี สูงกว่าสุนัขที่เติบโต 7.6% ขณะเดียวกันผลิตภัณฑ์แบบเปียกคาดโตเฉลี่ย 10.7% แบบแห้งโตเพียง 5.3% พร้อมใช้นวัตกรรมในการเพิ่มผลิตภัณฑ์พรีเมี่ยม เพิ่มความสามารถในการทำกำไรได้สูงกว่ารายได้

ไอ-เทล มาถูกที่ถูกเวลา ธุรกิจกำลังโต ขยายเข้าสู่ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงโลก มูลค่า 5 ล้านล้านบาท ด้วยจุดเด่นรอบด้าน ส่งให้บริษัทฯเป็นผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงที่ใหญ่ที่สุดอันดับ 2 ในเอเชีย และอยู่ใน 10 อันดับแรกของโลก นอกจากนี้ ไอ-เทล ยังเป็นผู้นำการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงชนิดเปียกในกลุ่ม OEM อันดับ 4 ของโลก รองจากบริษัทของสหรัฐ 2 บริษัท ยุโรป 1 บริษัท โดยในปี 2563 บริษัทมีรายได้ประมาณ 400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่เมื่อพิจารณาถึงความสามารถในการทำกำไรแล้ว ไอ-เทลทำได้สูงเป็นอันดับหนึ่ง ผลกำไรในการดำเนินงานคิดเป็นประมาณ 15-20% ขณะที่อันดับ 1-3 ทำได้ 4-15% เท่านั้น

‘โมเดล’ เด็ด

กำไรของบริษัท โดดเด่นมากในเวทีโลกและยังมีโอกาสเติบโตสูงขึ้น มาจากการวางโมเดลธุรกิจ พัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ครอบคลุมและหลากหลายเน้นคุณภาพสูง กระบวนการผลิตที่ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญ ทำให้คู่แข่งเข้ามายาก รวมถึงมีความได้เปรียบในการจัดหาวัตถุดิบ ที่สำคัญการมีวัฒนธรรมแห่งนวัตกรรม (Innovative Culture) ที่ขับเคลื่อนโดยมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาที่ทันสมัย สามารถก้าวตามทันแนวโน้มต่าง ๆ ของอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงได้ เช่น กระแสความต้องการอาหารที่มีรูปลักษณ์ใกล้เคียงอาหารคน กำลังได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น (Humanization) รวมถึงขนมที่มีคุณสมบัติพิเศษ เช่น ช่วยดูแลสุขภาพฟัน บำรุงขน เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และดูแลระบบทางเดินอาหาร ช่วยให้บริษัทผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีส่วนผสมหลายชั้น (Multi-Layer Product) ที่มีรูปลักษณ์ใกล้เคียงอาหารคนและเป็นผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมได้

ITC อยู่ในกลุ่มไทยยูเนี่ยน ผู้นำในการส่งออกปลาทูน่าระดับโลก เชื่อมั่นว่ามีข้อได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ที่แข็งแกร่ง เนื่องจากสามารถใช้ประโยชน์จากการจัดหาและการจัดการห่วงโซ่อุปทาน รวมถึงการสั่งซื้อวัตถุดิบจำนวนมากได้ในราคาที่แข่งขันได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัท สามารถรักษาโครงสร้างต้นทุนที่มีประสิทธิภาพและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ได้ในราคาที่แข่งขันได้ ซึ่งนอกจากปลาทูน่าซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 43-49 % ของมูลค่าการสั่งซื้อวัตถุดิบรวมแล้ว ไก่ซึ่งเป็นอีกหนึ่งวัตถุดิบสำคัญ ก็ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการที่ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกเนื้อไก่แปรรูปรายใหญ่ของโลกด้วยเช่นกัน สามารถนำไปผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงที่มีคุณภาพและคุณค่าทางโภชนาการสูงรวมทั้งรสชาติอร่อย จนได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยมจากกลุ่มลูกค้าเจ้าของแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงชั้นนำและเจ้าของสัตว์เลี้ยงทั่วโลก

นอกจากนี้บริษัท ยังสามารถซื้อวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์อื่น ๆ ได้จากบริษัทในกลุ่มไทยยูเนี่ยน เช่น ซื้อบรรจุภัณฑ์จากบริษัท เอเซียนแปซิฟิคแคน (APC) ในราคาที่แข่งขันได้ และบริษัทไทยรวมสินพัฒนาอุตสาหกรรม (TUM) มีเครื่องติดฉลากกึ่งอัตโนมัติ ระบบการจัดเก็บและเบิกจ่ายสินค้าอัตโนมัติ (ASRS) สำหรับจัดการสินค้าสำเร็จรูปที่คลังสินค้า รวมถึงการใช้ระบบข้อมูลอัตโนมัติ แสดงจำนวนสินค้าคงคลังที่เป็นปัจจุบัน จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการคลังสินค้า รวมถึงบริษัทแม่ ยังมีพันธมิตรร่วมลงทุน และการลงทุนในสตาร์ทอัพ เพิ่มโอกาสต่อยอดทางธุรกิจให้กับบริษัทในระยะยาว

“ITC ใช้วัตถุดิบภายในประเทศประมาณ 75% ส่งผลบวกต่อกำไร ในภาวะค่าเงินบาทอ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ ส่วนเรื่องต้นทุนที่สูงขึ้น และการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ บริษัทยังบริหารจัดการได้ ไม่ได้กระทบต่อผลกำไรอย่างมีนัยสำคัญ และสามารถปรับราคาขายได้ตามต้นทุนที่เปลี่ยนแปลงไป ตามสัญญาซื้อขายสินค้าที่เป็นเทอม เฉลี่ย 6-12 เดือน”

‘ไอ-เทล’ ยังมีจุดเด่นชัดเจนด้านความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับลูกค้าต่างประเทศ โดยลูกค้าหลัก 3 อันดับแรกอยู่กันมานานถึง 21 ปี ส่วนกลุ่มลูกค้า 10 อันดับแรกก็ไม่น้อยประมาณ 18 ปี เป็นแบรนด์ชื่อเสียงดังของโลก เช่น มาร์ส เพ็ทแคร์ (Mars Petcare) และ สมัคเกอร์ส (Smucker’s) นอกจากนี้ บริษัทยังร่วมมือกับคู่ค้าต่างประเทศและในประเทศขยายตลาดและขยายฐานลูกค้ามากยิ่งขึ้น

บริษัทไม่หยุดนิ่งในการสร้างความสัมพันธ์ ส่งผลให้รายได้จากการขายให้แก่ลูกค้ารายใหญ่ 3 อันดับแรกเติบโตขึ้นระหว่างปี 2562-2564 จาก 6,009 ล้านบาท เป็น 7,678 ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 13% ความมุ่งมั่นในการยึดแนวการให้บริการแบบร่วมสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ร่วมกับลูกค้า (Co-Creation) ด้วยนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ทำให้บริษัทได้รับความไว้วางใจจากคู่ค้ารายใหญ่ทั่วโลก ส่งผลต่อยอดขายที่สูงขึ้น

“Mars Petcare” แบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงรายใหญ่ที่สุดในโลก เลือกให้ ITC เป็นผู้ผลิตสินค้าให้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะชอบโมเดล “One-Stop” มุ่งพัฒนาอาหารสัตว์เลี้ยงร่วมกับพันธมิตรและลูกค้า เพื่อตอบโจทย์ความต้องการใหม่ ๆ ของเจ้าของและสัตว์เลี้ยงในทุกแง่มุม ด้วยจุดเด่นของแพลตฟอร์มรับผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง ที่มีบริการครบวงจรตั้งแต่การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะตัว (personalized solution) จนถึงการผลิตในทุกขั้นตอน นอกจากนี้บริษัทยังได้รับรางวัลผลิตภัณฑ์แห่งปีจาก Mars ในปี 2565 สำหรับอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก ที่ทำจากไก่บรรจุในบรรจุภัณฑ์ประเภทถ้วยพลาสติก (Wholesome Bowl)

บริษัท ยังได้เป็นพันธมิตรในแง่ของกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์และการร่วมสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ หรือ Co-Creation จะทำงานอย่างใกล้ชิด ช่วยออกแบบและร่วมสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการและข้อกำหนดของลูกค้า โดยทั่วไปผลิตภัณฑ์ที่ร่วมมือในการผลิตกับลูกค้าจะใช้เวลาพัฒนาประมาณ 1-2 ปี จึงเป็นไปได้ยากที่ผู้รับจ้างผลิตสินค้ารายอื่นจะลอกเลียนแบบ และลูกค้าจะเปลี่ยนผู้รับจ้างผลิต ทำให้บริษัทสามารถเติบโตไปพร้อมกับธุรกิจของลูกค้าได้

บริษัทเชื่อว่าการดำเนินงานในลักษณะองค์รวมในการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า เช่น ร่วมมือกับลูกค้า พัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงสำหรับเจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงในสหรัฐ ประเทศในทวีปยุโรป ออสเตรเลีย และไต้หวัน เพื่อให้ลูกค้าเหล่านั้นเข้าไปทำการตลาดในประเทศจีน และร่วมมือกับเจ้าของแบรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศมาเลเซีย เพื่อช่วยขยายตลาดไปยังสหรัฐฯ การที่ลูกค้าขยายกิจการไปยังตลาดใหม่ๆ จะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งในตลาดอุตสาหกรรมอาหารสัตว์เลี้ยงโลกให้แก่บริษัทฯ ด้วย

เน้นความยั่งยืนและนวัตกรรมในทุกกระบวนการ

ปัจจุบันไอ-เทล มีระบบนิเวศเชิงนวัตกรรมที่รอบด้านโดยมีสัตว์เลี้ยงเป็นศูนย์กลาง (Pet-Centric) เช่น Global PetCare Innovation Center ที่มุ่งสร้างมูลค่าเพิ่มและส่วนผสมใหม่ เน้นเรื่องความยั่งยืน ศูนย์ Global Innovation Center ของไทยยูเนี่ยน และยังมีโรงงานต้นแบบสำหรับผลิตสินค้าทดลองปริมาณน้อยให้ลูกค้าก่อนพัฒนาสู่ตลาดจริง รวมทั้งศูนย์ i-Tail Cattery เพื่อศึกษาพฤติกรรม และความชอบของแมวโดยเฉพาะ นอกจากนี้ บริษัทยังใช้ระบบ Automation ในการบริหารคลังสินค้า ก่อให้เกิดความผิดพลาดต่ำและลดต้นทุน ได้รับความไว้วางใจยาวนานจากบริษัทผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงรายใหญ่ของโลกทั้งในสหรัฐ ยุโรป และเอเชีย

ทีมผู้บริหารโดดเด่นนำผลประกอบการแกร่ง

บริษัทมีผู้บริหารระดับสูงที่มีความตั้งใจจริง มีประสบการณ์โดยเฉลี่ย 20 ปี สามารถวางกลยุทธ์ทางธุรกิจและทิศทางในการดำเนินงานที่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม ส่งผลให้มีผลงานโตโดดเด่น โดยให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมในการพัฒนาองค์กรอย่างยั่งยืนที่สอดคล้องกับหลักการด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล สร้างผลงานความสำเร็จชัดเจนในการขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ๆ เช่น ในทวีปยุโรปและจีน ทำให้ผลการดำเนินงานและฐานะการเงินแข็งแกร่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีกำไรสุทธิ เพิ่มขึ้นจาก 1,695 ล้านบาทในปี 2562 เป็น 2,721 ล้านบาทในปี 2564 เติบโตเฉลี่ย 26.7% และบริษัทฯ มีกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เพิ่มขึ้นจาก 2,162 ล้านบาท เป็น 3,317 ล้านบาท หรือเติบโตเฉลี่ย 23.9% บริษัทยังมีอัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจาก 15.3% เป็น 18.6% บริษัทเชื่อว่าความรู้และความสามารถทางธุรกิจของผู้บริหาร จะช่วยให้สามารถใช้ประโยชน์จากโอกาสทางการตลาดในอนาคต และสามารถกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผู้ถือหุ้น

‘กลยุทธ์’ สุดยอด

บริษัทออกผลิตภัณฑ์ใหม่ทุกปี นับจากปี 2562-2564 จำนวน 1,160 ชนิด 1,232 ชนิด และ 1,356 ชนิด ตามลำดับ คิดเป็นสัดส่วน 12.3%, 16.7% และ 15.3% ของรายได้จากการขายรวม โดยรวม 3 ปี ยอดขายเติบโตเฉลี่ย 15% เป็น 14,529 ล้านบาท ในปี 2564 ในครึ่งปีแรกของปี 2565 บริษัทมีรายได้จากการขาย 9,707 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2,257 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 38% และ 40% ตามลำดับ มาจากผลิตภัณฑ์ทั้งหมด 4,809 ชนิด เพิ่มขึ้น 141 ชนิดจากในช่วงไตรมาส 1/2565 จำหน่ายอยู่กว่า 45 ประเทศทั่วโลก

“นอกจากจะต้องออกผลิตภัณฑ์ใหม่ทุกปีแล้ว ยังต้องสร้างความแตกต่าง และสามารถจดสิทธิบัตรได้ เพื่อให้ลอกเลียนแบบยากที่สุดด้วย”

ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 มิ.ย. 2565 บริษัทได้จดทะเบียนสิทธิบัตร 1 ฉบับ และมีสิทธิบัตรอีก 10 ฉบับ ที่อยู่ระหว่างการจดทะเบียน ด้วยผลจากนวัตกรรมที่แข็งแกร่งและความสามารถด้านการวิจัยและพัฒนา ทำให้เชื่อมั่นว่าบริษัทเป็นผู้รับจ้างผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงรายแรกที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เช่น ปาเต้รูปทรงกังหัน (Swirl Pate)

เจาะตลาดใหญ่ในจีน-ยุโรป

บริษัทอยู่ในระหว่างการทำงานร่วมกับเจ้าของแบรนด์อาหารสัตว์เลี้ยงและบริษัทค้าปลีกชั้นนำหลายรายในสหรัฐ ในยุโรป และเอเชีย เพื่อปรับฐานลูกค้าให้มีความหลากหลายเพิ่มขึ้น บริษัทยังวางแผนที่จะให้บริการด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์และด้านกลยุทธ์ผลิตภัณฑ์ในประเทศแถบยุโรปและประเทศจีนมากยิ่งขึ้นอีกด้วย

นอกจากนี้ จะขยายธุรกิจรับจ้างผลิตสินค้า โดยเฉพาะอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียก ซึ่งเป็นไปตามเทรนด์การเติบโตของอาหารสัตว์เลี้ยงทั่วโลก จากข้อมูลการตลาดอิสระของ Frost & Sullivan ที่ระบุว่า ครัวเรือนในสหรัฐ ส่วนใหญ่ใช้จ่ายประมาณ 114.92 ดอลลาร์สหรัฐต่อปีเพื่อซื้ออาหารสัตว์เลี้ยง จึงเป็นหนึ่งในประเทศที่บริษัทค้าปลีกหลายรายตั้งเป้าที่จะขยายธุรกิจ เจ้าของสัตว์เลี้ยงมักจะซื้ออาหารอย่างต่อเนื่องและมีความภักดีต่อแบรนด์ระดับสูง

ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ครัวเรือนสหรัฐกว่า 30% มีการเลี้ยงสัตว์เลี้ยง ส่วนประเทศญี่ปุ่นมีอัตราการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น 15% จีนเป็นประเทศที่น่าสนใจที่บริษัทจะเข้าไปขยายธุรกิจ ในปี 2564 ตลาดสำหรับแมวและสุนัข มีมูลค่า 8,900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยต่อปี 19.8% มูลค่าสูงถึง 22,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2569 เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากค่าใช้จ่ายต่อหัวผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยง 6.28 ดอลลาร์ ต่ำมากเทียบกับจำนวน 114.92 ดอลลาร์ในสหรัฐ จำนวน 63.06 ดอลลาร์ ในยุโรป (รวมถึงสหราชอาณาจักร) และจำนวน 36.69 ดอลลาร์ในญี่ปุ่น

ขณะที่ประชากรในจีนหันมาเลี้ยงสัตว์เลี้ยงมากขึ้น โดยมีอัตราการเติบโตของการใช้จ่ายของเจ้าของสัตว์เลี้ยงเฉลี่ยต่อปีสูงถึง 21.5% ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา(2559-2564 ) จากกระแสการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเหมือนสมาชิกในครอบครัว และผู้คนเริ่มตระหนักถึงคุณค่าทางโภชนาการของผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมียมที่อาจช่วยลดความจำเป็นในการพบสัตวแพทย์และลดค่าใช้จ่ายในการรักษา ซึ่งเป็นหนึ่งทำให้เกิดกระแสความนิยมอาหารแบบเปียกระดับพรีเมียมในประเทศจีน ซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างหาโอกาสในการเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจกับคู่ค้าในประเทศจีน ซึ่งรวมถึงแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่เป็นกลุ่มลูกค้าที่มีแบรนด์ของตนเองที่มีศักยภาพ หากประสบความสำเร็จ จะทำให้บริษัทมีโอกาสที่จะผลิตสินค้าให้กับลูกค้าที่มีแบรนด์ของตนเอง รวมถึงโอกาสในการสร้างเครือข่ายกับเจ้าของแบรนด์ระดับโลกในประเทศจีนที่บริษัทฯ ยังไม่เคยมีความสัมพันธ์ทางการค้าด้วยมาก่อน

IPO ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ-กำลังผลิต

บริษัทประกาศความพร้อมเดินหน้าเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (ไอพีโอ) จำนวนไม่เกิน 660 ล้านหุ้น สัดส่วน 22% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด แบ่งเป็นการเพิ่มทุนจำนวน 600 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 20% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด และหุ้นเดิมที่เสนอขายโดย TU ไม่เกิน 60 ล้านหุ้นคิดเป็นสัดส่วน 2% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด มีเป้าหมายในการระดมทุนเพื่อใช้ลงทุนในการขยายกำลังการผลิต เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และขยายโครงสร้างพื้นฐานสนับสนุนการผลิต บริษัทอยู่ระหว่างก่อสร้างโรงงานใหม่ในบริเวณเดียวกับโรงงานที่จังหวัดสมุทรสาคร คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2566 จะเพิ่มกำลังการผลิตได้ 18.7% ของกำลังการผลิตรวม รวมถึงการปรับปรุงโรงงานให้ทันสมัยด้วยระบบและเครื่องจักรอัตโนมัติ และระบบคลังสินค้าและติดฉลากอัตโนมัติ จัดตั้งบริษัทย่อยในประเทศจีนและทวีปยุโรป และเพิ่มการลงทุนในบริษัทย่อยที่ประเทศญี่ปุ่นรวมถึงการชำระหนี้เพื่อลดภาระต้นทุนทางการเงิน พร้อมใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจในอนาคต

นักลงทุนเตรียมเงินไว้ให้พร้อมสำหรับซื้อหุ้นชั้นดี เติบโตไปพร้อมกันกับบริษัทและคู่ค้าระดับโลก…..

#หุ้น ITC #iTailIPO
ที่มา: ข้อมูลตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงโลกและการจัดอันดับเชิงมูลค่า ณ ปี 2564 และการจัดอันดับผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงชนิดเปียกในกลุ่ม OEM ณ ปี 2563 อ้างอิงจาก Frost & Sullivan, www.petfoodindustry.com
ข้อมูลทางการเงินของบริษัท จากงบการเงินเสมือนสำหรับปีสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2562-2564 และ สำหรับงวดหกเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 และ 2565

*การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทนและความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.i-Tail.com

#iTailIPO #หุ้นITC #ITC #iTailCorp #ไอเทล #อาหารสัตว์เลี้ยง