TRUE จ่อออกหุ้นกู้ 1.6 หมื่นลบ. ชำระหนี้เดิม- เป็นทุนหมุนเวียน

HoonSmart.com>>ทริสฯ จัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ของ “ทรู คอร์ปอเรชั่น” วงเงินไม่เกิน 1.6 หมื่นล้านบาทที่ BBB+ สถานะการแข่งขันแข็งแรง ผลการดำเนินงานเติบโต ในช่วงปี 65-67 คาดรายได้จากการดำเนินงานจะอยู่ในช่วง 1.48-1.52 แสนล้านบาท จุดอ่อนมีหนี้สินสูง ณ เดือนมิ.ย.แบกอยู่ 4.2 แสนล้านบาท คาดอีก 12 เดือนข้างหน้าหนี้จะครบกำหนดชำระ 5.67 หมื่นล้านบาท

บริษัท ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1.6 หมื่นล้านบาทและไถ่ถอนภายใน 6 ปีของบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น (TRUE) ที่ระดับ “BBB+” เพื่อนำเงินไปใช้ชำระคืนหนี้เงินกู้เดิมและใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน

ทั้งนี้ อันดับเครดิตของบริษัททั้งหมดยังคงอยู่ภายใต้การประกาศ “เครดิตพินิจ” แนวโน้ม “บวก” โดยปัจจุบันอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทอยู่ที่ระดับ “BBB+” ส่วนอันดับเครดิตหุ้นกู้ที่มีการค้ำประกันบางส่วนอยู่ที่ระดับ “A-”

อันดับเครดิตองค์กรและตราสารหนี้ของบริษัทยังคงสะท้อนถึงสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่งในฐานะผู้นำในการให้บริการโทรคมนาคมแบบครบวงจรในประเทศไทยที่มีสถานะทางการแข่งขันที่แข็งแกร่งทั้งในธุรกิจการให้บริการสื่อสารแบบไร้สายและธุรกิจอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง

นอกจากนี้ อันดับเครดิตยังสะท้อนถึงความคาดหวังของทริสด้วยว่าบริษัทจะยังคงได้รับการสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจากกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทคือเครือเจริญโภคภัณฑ์หรือกลุ่มซีพีและพันธมิตรเชิงกลยุทธ์คือ China Mobile International Holdings Ltd.อีกด้วย อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็ถูกลดทอนจากภาระหนี้สินของบริษัทที่อยู่ในระดับสูงและการแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรมโทรคมนาคมด้วยเช่นกัน

ปัจจุบันบริษัทยังคงมีผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ที่สอดคล้องกับประมาณการของทริส กล่าวคือ บริษัทมีรายได้จากการดำเนินงานรวมเพิ่มขึ้น 3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 7.18 หมื่นล้านบาท ซึ่งมีปัจจัยขับเคลื่อนจากธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่มีจำนวนลูกค้าและรายได้จากการขายที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม รายได้เฉลี่ยต่อเลขหมาย (Average Revenue Per User ARPU) ยังคงได้รับแรงกดดันจากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ชะลอตัวลง ซึ่งส่งผลให้รายได้จากการให้บริการรวมอยู่ที่ระดับ 5.9 หมื่นล้านบาท โดยลดลง 2.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

อย่างไรก็ตามบริษัทยังมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ที่เติบโตเพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมาอยู่ที่ 3.15 หมื่นล้านบาทในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 และมีอัตราส่วน EBITDA ต่อรายได้ (EBITDA Margin) ที่ระดับ 43.8% ในขณะที่เงินทุนจากการดำเนินงานนั้นอยู่ที่ระดับ 2.15 หมื่นล้านบาท

ในช่วงปี 2565-2567 ทริสคาดว่ารายได้จากการดำเนินงานจะอยู่ในช่วง 1.48-1.52 แสนล้านบาท จากความแข็งแกร่งทางการแข่งขันของธุรกิจให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่และบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ในขณะที่รายได้จากธุรกิจโทรทัศน์ระบบบอกรับสมาชิกจะยังคงได้รับแรงกดดันจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค ทั้งนี้ ทริสคาดว่า EBITDA จะอยู่ที่ระดับ 6.1-6.5 หมื่นล้านบาทต่อปี EBITDA Margin อยู่ที่ระดับ 41%-43% และเงินทุนจากการดำเนินงานน่าจะอยู่ในช่วง 4.2-4.3 หมื่นล้านบาทต่อปี

ทั้งนี้ ณ เดือนมิ.ย. 2565 บริษัทมีหนี้สินทางการเงินที่ปรับปรุงแล้วอยู่ที่ประมาณ 4.2 แสนล้านบาท โดยมีอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA อยู่ที่ระดับ 6.6 เท่า ในขณะที่มีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินอยู่ที่ระดับ 10.3% และมีอัตราส่วนหนี้ที่มีลำดับในการได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินทั้งหมดที่ระดับ 40% ทริสคาดว่าหนี้สินทางการเงินของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับสูงในช่วง 3 ปีข้างหน้า โดยอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA จะยังคงอยู่ที่ระดับ 6.5-7 เท่าและอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินจะอยู่ที่ระดับประมาณ 10% โดยสภาพคล่องจะตึงตัวแต่ก็อยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ บริษัทมีหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 12 เดือนข้างหน้าจำนวนประมาณ 5.67 หมื่นล้านบาท ซึ่งคาดว่าบริษัทจะมีการกู้เงินใหม่เพื่อนำมาชำระคืนหนี้เงินกู้เดิมส่วนใหญ่ที่จะครบกำหนด ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาจากสถานะทางการตลาดที่แข็งแกร่งและผลการดำเนินงานที่น่าพอใจแล้ว ทริสมองว่าบริษัทจะสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงในการกู้เงินใหม่เพื่อนำมาชำระคืนหนี้เงินกู้เดิมได้

ส่วนเครดิตพินิจแนวโน้ม “บวก” สะท้อนถึงมุมมองของทริสที่เห็นว่าบริษัทใหม่ที่จะเกิดจากการควบรวมในครั้งนี้จะมีสถานะเครดิตที่แข็งแกร่งกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับสถานะเครดิตของบริษัท คาดว่าการควบรวมจะทำให้เกิดการผสานพลังทางธุรกิจ รวมทั้งเกิดการขยายขนาดของธุรกิจอย่างมีนัยสำคัญ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และการเพิ่มประสิทธิภาพด้านต้นทุน

ในขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาในเชิงของตัวเลขแล้ว การควบรวมกิจการจะทำให้ NEWCO ครองส่วนแบ่งทางการตลาดสูงสุดในด้านของรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ อีกทั้ง สถานะทางการเงินของ NEWCO ก็น่าจะแข็งแกร่งกว่าสถานะทางการเงินของบริษัทในปัจจุบันอย่างมีนัยสำคัญอีกด้วย โดยทริสคาดว่าหลังจากการควบรวมแล้วอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อ EBITDA ของ NEWCO จะอยู่ที่ระดับ 5-5.5 เท่า ซึ่งต่ำกว่าอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราส่วนของบริษัทซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับประมาณ 7 เท่า

ทริสเรทติ้งมองว่าการได้รับความเห็นชอบในการควบรวมกิจการจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องนั้นยังคงมีความท้าทาย โดยจะยกเลิกเครดิตพินิจเมื่อการควบรวมกิจการเสร็จสิ้นและมีการวิเคราะห์ผลกระทบจากการควบรวมกิจการที่มีต่ออันดับเครดิตของบริษัทอย่างถี่ถ้วนแล้ว โดยทริสเรทติ้งจะติดตามความคืบหน้าของการควบรวมกิจการดังกล่าวอย่างใกล้ชิดและจะพิจารณาทบทวนอันดับเครดิตอย่างเหมาะสมต่อไป