ดาวโจนส์ปิดพุ่ง 765 จุด บอนด์ยีลด์อ่อนตัว

HoonSmart.com>> ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พุ่ง ดัชนีดาวโจนส์ฟื้นตัวปิดทะยาน 765 จุด หลังร่วงหนักในเดือนก.ย. บอนด์ยีลด์อ่อนตัว นักลงทุนคลายกังวลเฟดปรับขึ้นดอกเบี้ย ยังคงจับตาผลประกอบการไตรมาสสาม ข้อมูลเศรษฐกิจ ด้านราคาน้ำมันดิบ WTI พุ่ง 4.14 ดอลลาร์ กว่า 5.2% ปิดที่ 83.63 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ฟาก “ตลาดหุ้นยุโรป” ปิดบวก ส่วนหุ้นเครดิต สวิส ลดลง 2.3% หลังซีอีโอแถลงการณ์สั้นเพื่อให้นักลงทุนรายใหญ่คลายวิตกต่อสถานะการเงิน

ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ (Dow Jones Industrial Average:DJIA) วันที่ 3 ตุลาคม 2565 ปิดที่ 29,490.89 จุด เพิ่มขึ้น 765.38 จุด หรือ 2.66% ฟื้นตัวจากที่ร่วงลงเยอะในเดือนกันยายน ด้วยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่อ่อนตัวลง ทำให้คลายกังวลต่อการที่ธนาคารกลาง(เฟด)จะปรับขึ้นดอกเบี้ย

ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,678.43 จุด เพิ่มขึ้น 92.81 จุด, +2.59%

ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 10,815.43 จุด เพิ่มขึ้น 239.82 จุด, +2.27%

อัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีซื้อขายที่ 3.65% หลังจากที่ขึ้นไปปแตะ 4% ช่วงหนึ่งในสัปดาห์ที่แล้ว

เรย์มอนด์ เจมส์ จาก Tavis McCourt กล่าวว่าเป็นเรื่องปกติเมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรเพิ่มขึ้นหุ้นก็เจอแรงกดดัน เมื่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรลดลงหุ้นก็ปรับตัวขึ้น

ด้านแซม สโตวัล ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุนจาก CFRA กล่าวว่า การปรับขึ้นของตลาดไม่น่าแปลกใจเพราะถูกเทขายหนักมาตลอด “ดัชนี S&P ลดลง 9% ในเดือนกันยายน และข้อมูลของISM ต่ำกว่าคาด ทำให้นักลงทุนคาดคะเนว่า เฟดอาจจะไม่เร่งขึ้นดอกเบี้ย ด้วยเหตุนี้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรจึงลดลง เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ส่งผลให้ตลาดปรับขึ้น

สถาบันจัดการด้านอุปทาน (ISM) รายงาน ดัชนีภาคการผลิตลดลงจากระดับ 52.8 ในเดือนสิงหาคมสู่ระดับ 50.9 ในเดือนกันยายน ซึ่งต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี นับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2020 และต่ำกว่า 52.3 ที่นักวิเคราะห์คาด

โจเซฟ ลาโวร์กนา หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จาก SMBC Nikko Securities กล่าวว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไม่ได้สะท้อนการคาดการณ์ดอกเบี้ยของเฟดเสมอไป และมีหลายครั้งที่ผิดไปจากที่คาด สถิติที่ผ่านมาชี้ว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรเป็นตัวบ่งชี้ที่ไม่ดีนักต่อการลดดอกเบี้ยของเฟด

เมื่อมองย้อนไปที่วัฏจักรการปรับขึ้นดอกเบี้ย 3 รอบในปี 1999-2000, 2004-06 และ 2015-18 นักลงทุนคาดว่าเฟดจะคงดอกเบี้ยสูงไว้นาน แต่ปรากฏว่าเฟดต้องลดดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด

เอ๊ด โมยา จาก Oanda กล่าวว่า ยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่าเฟดจะยุติการขึ้นดอกเบี้ยรอบนี้ แต่ตลาดก็เริ่มเชื่อมั่นมากขึ้นว่าน่าจะเป็นเดือนธันวาคมปีนี้

ไรอัน เดทริค จาก Carson Group กล่าวว่า การปรับขึ้นของตลาดส่วนหนึ่งมาจากการที่มองกันว่าเดือนตุลาคมซึ่งเป็นช่วงเลือกตั้งกลางเทอมจะเป็นเดือนที่ตลาดพ้นจากภาวะขาลงหรือตลาดหมี เมื่อดูข้อมูลย้อนหลังทุกครั้งที่ดัชนี S&P 500 ลดลง 7% ขึ้นไปในเดือนกันยายน ในเดือนตุลาคมหุ้นก็จะปรับตัวขึ้นอย่างดี

หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นมาก จากราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นกว่า 5% หลังมีรายงานว่ากลุ่มโอเปกและพันธมิตรอาจจะลดกำลังการผลิต โดยหุ้นฮัลลิเบอร์ตันเพิ่มขึ้น 7.1% หุ้นโคโนโคฟิลลิปส์ เพิ่มขึ้น 7.4% หุ้นเชฟรอน เพิ่มขึ้น 5.5% หุ้นเอ็กซอน โมบิล เพิ่มขึ้น 5.2%

หุ้นเทสลา ร่วงลง 8.6% หลังรายงานยอดการส่งมอบรถยนต์ไฟฟ้าในไตรมาส 3 ว่า มีจำนวน 343,830 คัน ต่ำกว่า 358,000-371,000 คันที่นักวิเคราะห์คาด

นักลงทุนจับตาการรายงานผลประกอบการไตรมาสสาม รวมทั้งข้อมูลเศรษฐกิจทั้งการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนกันยายนและการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือนสิงหาคม

ตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น แต่การซื้อขายยังผันผวน นักลงทุนยังกังวลต่อวิกฤติพลังงาน สถานการณ์การเมือในอังกฤษ (BoE) และสถานะการเงินของธนาคารเครดิต สวิส

รัสเซียระงับการส่งก๊าซให้อิตาลีเมื่อสุดสัปดาห์ตอกย้ำความขัดแย้งระหว่างรัสเซียกับยุโรปตะวันตก ขณะที่รัฐมนตรีพลังงานสหภาพยุโรปประกาศแผนลดภาษีให้บริษัทพลังงาน และผู้นำอียูกำหนดหารือในสุดสัปดาห์นี้

ส่วนในอังกฤษรัฐมนตรีคลังประกาศยกเลิกแผนการลดภาษีเงินได้ในส่วนอัตราสูงสุด ส่งผลให้เงินปอนด์อ่อนค่า

หุ้นเครดิต สวิส ลดลง 2.3% หลังซีอีโอออกแถลงการณ์สั้นเพื่อให้นักลงทุนรายใหญ่คลายวิตกต่อสถานะการเงิน แต่กลับกลายเป็นว่าถูกตั้งคำถามต่อความมั่นคงของธนาคาร ทั้งนี้ในสัปดาห์ก่อนเครดิต สวิสแจ้งว่ากำลังพิจารณาขายสินทรัพย์และหน่วยธุรกิจบางส่วน

ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 390.83 จุด เพิ่มขึ้น 2.98 จุด, +0.77%

ดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 6,908.76 จุด เพิ่มขึ้น 14.95 จุด, +0.22%

ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,794.15 จุด เพิ่มขึ้น 31.81 จุด, +0.55%

ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 12,209.48 จุด เพิ่มขึ้น 95.12 จุด, +0.79%

ราคาน้ำมันดิบ WTI งวดส่งมอบเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้น 4.14 ดอลลาร์ หรือ 5.2% ปิดที่ 83.63 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบ Brent ทะเลเหนืองวดส่งมอบเดือนธันวาคม เพิ่มขึ้น 3.72 ดอลลาร์ หรือ 4.4% ปิดที่ 88.86 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล