HMPRO กำไร 1,520 ลบ. Q2/65 โต 6.11%

HoonSmart.com>> “โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์” เปิดงบไตรมาส 2/65 กำไรสุทธิ 1,520 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.11% จากงวดปีก่อน รายได้รวม 17,307.56 ล้านบาท ขยับขึ้น 2.08% น้ำมัน เงินเฟ้อพุ่ง กำลังซื้อลด ส่วนครึ่งปีกำไร 3,031 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.44%

บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ (HMPRO) เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2565 มีกำไรสุทธิ 1,520.07 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.12 บาท เพิ่มขึ้น 6.11% จากงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 1,432.59 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.11 บาท

ส่วนงวด 6 เดือนปี 2565 กำไรสุทธิ 3,031.01 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.23 บาท เพิ่มขึ้น 8.44%จากงวดเดียวกันของปีก่อนกำไรสุทธิ 2,795.06 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.21 บาท

บริษัทฯ มีรายได้รวมในไตรมาส 2/2565 จำนวน 17,307.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 353.26 ล้านบาท หรือ 2.08% มีกำไรขั้นต้นจากการขายสินค้าและการให้บริการลูกค้า (Home Service) รวม 4,195.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 129.83 ล้านบาท หรือ 3.19% เมื่อเทียบกับปีก่อน รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขายก็เพิ่มขึ้นจาก 25.17% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 25.71% ซึ่งเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงส่วนผสมของกลุ่มสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง รวมถึงรายได้จากการบริการที่เพิ่มขึ้น แม้ต้นทุนค่าขนส่งในการกระจายสินค้าสู่สาขาจะปรับตัวสูงขึ้นจากราคาน้ำมันก็ตาม

ด้านต้นทุนค่าเช่า 175.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.61 ล้านบาท หรือ 12.55% โดยมาจากต้นทุนค่าสาธารณูปโภคที่เพิ่มขึ้นจากการกลับมาดำเนินงานได้เป็นปกติมากขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนและมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร 3,029.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 163.41 ล้านบาท หรือ 5.70% เมื่อเทียบกับปีก่อน สำหรับอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อยอดขายมีการปรับเพิ่มขึ้นจาก 17.74% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 18.57% จากค่าใช้จ่ายทางด้านการตลาดและการส่งเสริมการขาย ค่าใช้จ่ายกลุ่มเงินเดือนและสวัสดิการพนักงาน ค่าสาธารณูปโภคค่าขนส่งที่จัดส่งสินค้าให้ลูกค้า ค่าซ่อมแซม และการปรับสู่อัตราปกติของค่าภาษีโรงเรือน

อย่างไรก็ตามในไตรมาส 2/2565 ประเทศไทยเผชิญกับแรงกดดันทางด้านเศรษฐกิจจากอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งสูงขึ้นแตะระดับ 7% ซึ่งนับได้ว่าเป็นระดับสูงที่สุดในรอบ 14 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้จากค่าใช้จ่ายด้านพลังงานและต้นทุนวัตถุดิบที่แพงขึ้น ส่งผลกระทบต่อผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่าย ทั้งในด้านต้นทุนของสินค้าและ ต้นทุนในการบริหารจัดการที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะจากน้ำมันดีเซล ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อต้นทุนค่าขนส่งในภาคธุรกิจ ที่เริ่มมีการปล่อยราคาลอยตัวตั้งแต่เดือนพ.ค.

นอกจากนี้ ยังเป็นปัจจัยที่ทำให้อัตราค่าไฟฟ้าสูงขึ้น จากปัจจัยทั้งหมดนี้ ย่อมกระทบโดยตรงต่อความกังวลและการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค และส่งผลให้ต่อดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในช่วงไตรมาส 2 ลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 9 เดือน

ในขณะที่ช่วงไตรมาส 2 ซึ่งเป็นฤดูร้อน แต่ในปีนี้ ในประเทศมีฝนตก เร็วกว่าปกติเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อ จำนวนคนที่เข้ามาจับจ่ายใช้สอย รวมถึงกิจกรรมที่เกี่ยวกับการปรับปรุงบ้านที่อาจมีการชะลอตัว และส่งผลกระทบการยอดขายสินค้าในกลุ่มทำความเย็น เช่น พัดลม แอร์ เป็นต้น ที่ไม่ได้เป็นไปตามเป้าหมาย

อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ยังคงผลักดันยอดขายอย่างต่อเนื่องโดยในไตรมาส 2 นี้ บริษัทฯ ได้มีการจัดงาน Homepro Super Expo ช่วงวันที่ 2-6 เม.ย.2565 ซึ่งเป็นการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายที่โฮมโปรทุกสาขาทั่วประเทศ และทางออนไลน์ ซึ่งถือเป็นการเพิ่มช่องทางให้กับลูกค้าในการซื้อสินค้าและบริการ เพื่อสร้างความสะดวกในการเลือกซื้อสินค้าให้กับลูกค้าถึงแม้ว่า ในไตรมาสที่ 2 บริษัทฯ เผชิญกับภาวะต้นทุนในการด าเนินงานด้านต่าง ๆ ที่เพิ่มขึ้น จากปัจจัยด้านเงิน
เฟ้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากค่าใช้จ่ายด้านพลังงานที่สูงขึ้น แต่บริษัทฯ ยังพยายามบริหารจัดการต้นทุนและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยมีการควบคุมและปรับปรุงประสิทธิภาพในด้านต่างๆ ทั้งทางการบริหารในสาขาของบริษัท เช่น การรวมการบริหารงานของธุรกิจเมกาโฮมและธุรกิจโฮมโปร ภายใต้การบริหารจัดการในทีมเดียวกัน รวมถึงการบริหารในระบบห่วงโซ่อุปทาน ควบคู่ไปด้วยเช่นกัน