DTAC กำไร 1,004 ลบ.Q2/65 ปันผลระหว่างกาล 85 สต./หุ้น ลดงบลงทุนปีนี้

HoonSmart.com>>”โทเทิ่ล แอ็คเซ็สฯ”โชว์กำไร 1,004 ล้านบาทไตรมาส 2/65 ลดลง 34% จากปีก่อน เติบโตขึ้น 38% จากไตรมาสแรก  รวมครึ่งปี มีลูกค้าเพิ่มขึ้น-EBITDA margin แข็งแกร่ง มุ่งเน้นกลยุทธ์การดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ ขยายโครงข่าย ท่ามกลางแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้น ปรับลดเป้าหมายปี 65 รายได้จากการให้บริการไม่รวมค่า IC  เป็นคงที่หรือลดลง ตัดงบลงทุน 1,000 ล้านบาทเหลือ 11,000-13,000 ล้านบาท 

บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น(DTAC) เปิดเผยผลการดำเนินงานงวดไตรมาสที่ 2/2565 มีกำไรสุทธิ 1,003.88 ล้านบาท กำไรหุ้นละ 0.42 บาท ลดลง 526.81 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ -34.42% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 1,530.69 ล้านบาทหรือ 0.65 บาท แต่เพิ่มขึ้น 277.45 ล้านบาท คิดเป็น 38.19% จากไตรมาสแรกปีนี้ ที่มีกำไรสุทธิ 726.43 ล้านบาท

ส่วนผลงานรวมครึ่งปี 2565 มีกำไรสุทธิ 1,730.31 ล้านบาทหรือ 0.73 บาทต่อหุ้น ลดลง 622.52 ล้านบาทหรือ -26.46% เทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนมีกำไรสุทธิ 2,352.83 ล้านบาท หรือ 0.99 บาทต่อหุ้น ด้านคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติจ่ายปันผลระหว่างกาลปี 2565 อัตราหุ้นละ 0.85 บาท กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date)วันที่  1 ส.ค. 2565 วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) 27 ก.ค. 2565 วันที่จ่ายปันผล 15 ส.ค. 2565

นายชารัด เมห์โรทรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น กล่าวว่า ในไตรมาสที่ 2/2565 เศรษฐกิจไทยดีขึ้นอย่างช้าๆ จากการเปิดประเทศ แต่ความท้าทายยังคงอยู่จากผลกระทบของโควิด-19 และอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของลูกค้า การแข่งขันระหว่างผู้ประกอบการโทรคมนาคมยังคงทวีความรุนแรงขึ้น แม้จะมีความท้าทาย แต่ DTAC ยังคงให้ความสำคัญในกลยุทธ์เพื่อส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้าต่อไป บรรลุเป้าหมาย 100% ในการขยายบริการ 5G ไปยัง 77 จังหวัดของประเทศไทย ในขณะที่ยังคงขยายโครงข่ายคลื่นความถี่ต่ำเพิ่มขึ้น 4,600 สถานีฐานในครึ่งปีแรก ทำให้มีจำนวนสถานีฐานบนคลื่น 700 MHz ทั้งหมด 17,800 สถานี ณ สิ้นไตรมาสที่สองและมีจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้น 412,000 ราย

ณ สิ้นไตรมาสที่ 2/2565 DTAC มีจำนวนผู้ใช้บริการทั้งหมดอยู่ที่ 20.3 ล้านราย เพิ่มขึ้น 412,000 ราย จากไตรมาสก่อน รายได้ค่าบริการไม่รวม IC เพิ่มขึ้น 0.9% จากไตรมาสก่อน และลดลง 2.5% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากการแข่งขันที่เข้มข้น และรายได้ IDD ที่ลดลง EBITDA  มีมูลค่า 8,290 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.4% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 2.8% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยมี EBITDA margin (normalized) แข็งแกร่งอยู่ที่ 41.5%

นายนกุล เซห์กัล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการเงิน DTAC กล่าวว่า กลยุทธ์ของบริษษัทในการยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลางยังคงดำเนินต่อไป โดยมีลูกค้ากลุ่มธุรกิจ (B2B) และบริการที่นอกเหนือจากการเชื่อมต่อ (dtac beyond) เป็นปัจจัยในการขับเคลื่อน

สำหรับในปี 2565 DTAC ตั้งเป้าที่จะเพิ่มรายได้ในอัตราร้อยละที่เป็นเลขสองหลักจากธุรกิจ B2B โดยเน้นไปที่ SME และโซลูชั่นกับข้อเสนอบริการด้านการเชื่อมต่อสำหรับลูกค้ากลุ่มธุรกิจ การเข้าเป็นพันธมิตรกับคู่ค้าทางธุรกิจเพื่อร่วมกันสร้างคุณค่า โดยในครึ่งปีแรก รายได้จากการให้บริการจาก B2B เติบโตขึ้น 16% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ dtac beyond ยังคงเติบโตต่อเนื่องโดยมีรายได้เพิ่มขึ้น 15% จากไตรมาสก่อน โดยได้แรงหนุนจากจำนวนผู้ใช้บริการและจำนวนธุรกรรมที่เพิ่มมากขึ้น และบริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนประสิทธิภาพ ซึ่งมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มประสิทธิภาพในเชิงโครงสร้าง ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานลดลง 11% จากปีก่อนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565

สำหรับไตรมาส 2/65 EBITDA เพิ่มขึ้น 15.4% จากไตรมาสก่อน ได้รับผลกระทบทางบวกประมาณ 1,000 ล้านบาท จากค่าใช้จ่ายในการติดตั้งวงจรกรองสัญญาณรบกวนคลื่นความถี่ 900 MHz ที่สามารถนำไปหักออกจากค่าธรรมเนียม USO ตามประกาศของ กสทช. และได้รับผลกระทบทางลบจากค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการควบรวมกิจการประมาณ 140 ล้านบาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นครั้งเดียว

“กำไรสุทธิในไตรมาสที่ 2 ดีขึ้นจากไตรมาสก่อน โดยได้แรงหนุนจาก EBITDA ที่สูงขึ้น หักล้างด้วยประมาณการผลเสียหายที่เกิดจากเหตุการณ์เพลิงไหม้มูลค่าประมาณ 560 ล้านบาท CAPEX สำหรับไตรมาสนี้อยู่ที่ 3,343 ล้านบาท”

อย่างไรก็ตาม ผลกระทบที่ยืดเยื้อจากโควิด-19 และการแข่งขันที่เข้มข้น  DTAC จึงได้ปรับปรุงแนวโน้มสำหรับปีงบประมาณ 2565  คาดว่าจะมีการส่งมอบรายได้จากการให้บริการ (ไม่รวมค่า IC) ที่คงที่จนถึงลดลงในอัตราร้อยละที่เป็นเลขหลักเดียวในระดับต่ำ ในขณะที่ EBITDA ซึ่งไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการควบรวมกิจการ จะอยู่ในช่วงแนวโน้มที่ให้ไว้ และปรับระดับการลงทุนมาอยู่ที่ 11,000-13,000 ล้านบาท  จากเดิมตั้งไว้จำนวน 12,000 – 14,000 ล้านบาท